2024-11-14

ทำงานเกิน 20 ช.ม. ระวัง Immigration ตัวดีมันจับไปนะครับ




ทำงานเกิน 20 ช.ม. ระวัง Immigration ตัวดีมันจับไปนะครับ เพื่อนๆ ที่อยู่ที่ประเทศออสเตรเลียคงรู้ดีอยู่แล้วว่าการถือวีซ่านักเรียนนั้น มีข้อจำกัดในเรื่องของการทำงาน เพราะว่านักเรียนน่ารัก ๆ ตาดำ ๆ แบบพวกเราทำงานแบบที่เสียภาษี (เสีย tax) กันได้เพียงสัปดาห์ล่ะ 20 ช.ม. เท่านั้น


aboutaus_0014.jpg

 

 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อนๆที่ทำงานแบบไม่เสียภาษี ตามร้านอาหาร หรือแบบ cash in hand ก็ถือว่าไม่ว่ากัน แต่ก็ต้องระวังเหมือนกันนะครับ เพราะถามหามีคนแจ้งไปล่ะก็โดนกลับไปจะหาว่าไม่เตือนไม่รู้นะครับ ส่วนเรื่องที่ผมจะเอามาเล่าให้เพื่อนๆฟังกันเนี่ย เป็นประสบการณ์ตรงกับผมเลยครับ ไม่ใช่ของใครอื่น ไม่มีใส่ไข่ แบบตรงๆจากเจ้าตัวเองเลย เพราะของแบบนี้ไม่โดนเองไม่รู้หรอกครับ


ผมเนี่ยอยู่ที่ประเทศออสเตรเลียมากว่า 3 ปีครึ่งแล้ว ใช้ชีวิตแบบสมบุกสมบันพอตัว เพราะว่านอกจากจะต้องหาเลี้ยงตัวเองแล้ว ผมเองยังต้องมีเจ้าสาวของผมเนี่ยคอยดูแลอยู่ด้วยเช่นกัน มาที่นี่เรียกว่าทำงานอะไรได้ก็ทำหมด ตั้งแต่ตอนแรกที่เป็นนักเรียนภาษา ก็ทำงานหามรุ่งหามค่ำ เรียกว่าไปโรงเรียนเนี่ยเหมือนไปนอน ไอ้เพื่อนๆต่างชาติมันคงงงว่าเราไปทำอะไรมา แต่เชื่อมั้ยครับว่าสมัยที่ผมมาตอนแรกๆเนี่ย ใครทำงานยิ่งเยอะ หาเงินได้มาก ทำงานหลายแบบ มันดูเท่ห์ยังไงไม่รู้ ใครถามมาบอกว่าทำงานที่นู่นที่นี่ มันดูแบบว่าไอ้นี่ท่าทางจะอนาคตไกล แต่มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นล่ะครับ เพราะว่าเรามาที่นี่เราเองก็ไม่อยากที่จะรบกวนผู้ปกครองมากเกินไป


ตอนนั้นที่มาที่นี่ก็แค่กะจะแบ่งเบาภาระให้พวกเค้า จะได้มาหาเงินที่นี่เพื่อส่งกลับไป แต่มันก็จริงๆ แหละครับว่าที่นี่มันทำงานได้มากกว่าที่บ้านเราจริงๆ ถ้าเปรียบเทียบความแข็งของค่าเงินแล้ว ที่ประเทศออสเตรเลียนั้น ก็พอที่จะทำให้สามารถสร้างครอบครัวได้ไม่ยาก (ผมคิดแบบนั้นนะ) ดังนั้นแผนการสร้างครอบครัวของผมก็เริ่มขึ้น โดยหลังจากที่มาที่เพียง 6 เดือนก็ล้มเลิกความคิดปริญญาโทในฝัน เปลี่ยนเป็นขอเจ้าสาวในอนาคตทำเรื่องของวีซ่าติดตามกันดีกว่า เพื่อที่เราจะได้ทำงานเต็มที่ และทำเรื่องของวีซ่าถาวร (Permanent Resident Visa) ได้โดยแบบแพ็คเกจคู่ เจ๋งมั้ยล่ะครับ แต่เจ๋งหรือเจ๊งต้องอ่านต่อไปอีกฮะ


aboutaus_0015.jpg


เรื่องมันเริ่มจากการที่เรารับข้อมูลมาผิดๆ ล่ะครับ เพราะว่าใครว่าอะไรมาก็ฟังไปเรื่อย แต่ไม่รู้ว่ามันจริงไม่จริง เชื่อได้หรือไม่ ในระยะเวลา 3 ปีครึ่งที่มาอยู่ที่นี่ 2 ปีแรกนั้นผมทำงานแบบเรียกว่าไม่เสียภาษีเลย cash in hand มาตลอด เริ่มทำงานตั้งแต่ ตี 4 ทุกๆวัน เปลี่ยนงาน 3 อย่างทั้งวัน รวมเลิกงานก็เกือบ 5 ทุ่มเที่ยงคืนทุกวัน แล้วก็ต้องตื่นตี 4 เช่นเดิม ทำงานอย่างเนี่ยไปเกือบ 2 ปี เรื่องการเก็บเงินน่ะเหรอครับ เรียกกว่า สบม. สบายมาก แต่จะว่าเก็บมามากก็ต้องจ่ายมาก เพราะว่าผมเองก็ต้องใช้จ่ายเรื่องค่าเรียน ค่ากินอยู่ ของผมและเจ้าสาวผมด้วยเช่นกัน ดังนั้น หามาได้เท่าไหร่ก็ยังต้องมีรายจ่ายรออยู่เช่นกัน


แต่ผมก็รอคอยวันสำเร็จหลังจากได้ PR แหละครับ พอผมทำงานแบบสู้สุดตัวมาประมาณ 2 ปี แบบ cash in hand ก็ดูเหมือนว่าจะใช้ชีวิตแบบไม่มีอะไรต้องกังวล แต่แล้ววันนึงเราก็ได้โอกาสเข้ามาทำงานในบริษัทของฝรั่งล่ะ ด้วยประมาณว่าเราเองก็อยากพัฒนาตัวเองน่ะเนอะ ไหนเงินจะดีกว่าด้วย แถมงานก็สบายกว่า เรียกว่า 3 งานที่เคยทำมา มาทำงานที่นี่ที่เดียวเรียกว่าได้เงินแทบจะเท่ากัน เพราะฉนั้นไม่มาทำไม่ได้แล้ว อุตสาห์มีคนหยิบยื่นโอกาสมาให้ แต่ว่าเรื่องตื่นเต้นมันจะเริ่มจากนี้แหละ ตอนแรก ๆ เรามาทำงานกับเค้า เค้าก็ขอหน้าวีซ่าเราตรวจดูว่าเราอยู่แบบไหน วีซ่าอะไร เค้าก็ไม่ได้ว่าอะไร รับเราเข้าทำงานปกติ โดยช่วงแรกๆ เราก็งานงาน 2-3 วันต่อสัปดาห์ เพราะว่ากลับจะเกิน 20 ช.ม. ต่อสัปดาห์ (เพราะว่าเจ้าสาวผมเค้าเรียน diploma ผมจึงสามารถทำงานได้เพียง 20 ช.ม. ตามกฎหมายครับ)


แรกทำงานไปเรื่อย ๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ด้วยว่าเราทำงานน่ารัก เจ้านายมันก็เพิ่ม shift ให้เรื่อยๆ จนบางครั้งเราทำวันล่ะ 16 ช.ม. ก็มี เชื่อมั้ยครับบางทีคนมันขาด 2 สัปดาห์เราก็ทำงานซัดเข้าไปกว่า 130 ช.ม. ซึ่ง 2 สัปดาห์มันควรจะแค่ 40 ชั่วโมงตามกฎหมาย หิหิ เราเองก็กลัวว่าจะทำงานเกิน (นี่ขนาดกลัวนะเนี่ย) แต่ลองไปถามคนนู้นคนนี้เค้าก็บอกว่าไม่เป็นไร เราอยู่ที่นี่มา 3 ปี ทำงานไม่เสียภาษีมา 2 ปี เสียภาษีแค่ปี เค้าถั่วเฉลี่ยได้ (ไม่ได้ครับพี่) บ้างก็บอกว่า ทำงานที่เดียวไม่เป็นไรถือว่า overtime แต่ถ้าทำงานเป็น double tax หรือ second job น่ะโดนแน่ (โดนตั้งแต่ทำงานเกินแล้วอ่ะพี่) ไอ้เราก็ไม่รู้ครับ ก็ทำไปเรื่อยทำงานไปครึ่งปีแรก claim tax ได้ด้วยแถมเต็ม ๆ อีกต่างหาก แสดงว่าคงไม่มีอะไร


aboutaus_0016.jpg


แต่แล้วจนแล้วจนรอดผมก็ทำงานมาอีก 1 ปีหลังจาก claim tax รอบที่แล้ว รายจ่ายทุกอย่างจัดการหมดสิ้น แถมเจ้าสาวผมเองก็เรียนจบพอดี เราสองคนเลยสามารถยื่นเรื่องขอ P.R. ได้ก่อนที่จะเปลี่ยนกฎพอดี เราสองคนยื่นเรื่องขอ P.R. ไปเมื่อต้นเดือนพฤษภาที่ผ่านมานี่เอง หลังจากที่ผมยื่นเรื่องไปก็เกรงว่าเดี๋ยวจะปัญหาเรื่องการขอ P.R. ล่าช้า เพราะเจ้าสามีตัวดีแบบผมนี่เล่นทำงานซะ น่าสงสัย น่าตรวจสอบจิงจิ้งง.. เพราะหลังจากที่คำนวนรายจ่ายแล้ว เราถือว่าทำได้สำเร็จทีเดียว ค่าเรียน และค่ากินอยู่ของเจ้าสาว รวมค่าสมัครยื่นเรื่อง P.R. เราสามารถหาได้โดยไม่ขาดตกบกพร่อง ดังนั้นเราจะลดงานที่ทำอยู่เหลือเพียง 20 ช.ม. ดีกว่าเพื่อลดอัตราเสี่ยง และแล้วผมก็ลดงานเป็นผมสำเร็จก่อนจะถึง Financial Year เมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา เมื่อปีกว่าที่ผ่านมาผมทำงานหนัก กะว่าจะขอ Claim Tax ให้กระจุยสักหน่อย


แต่แล้วก็มี โทรศัพท์ Private call โทรมาหาผมซะงั้น เค้าบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่จาก immigration จะขอนัดตัวเข้าไปสัมภาษณ์ (ผมแอบไปคิดว่าทำไมเราได้ P.R. เร็วจังวะ) ผมก็ถามว่ามีเรื่องอะไร เค้าก็บอกว่าเราทำงานเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ เราก็ดันทะลึ่งไปถามมันอีกว่าจะเอาเอกสารเพิ่มเติมอะไรมั้ยครับ เพราะว่าเราลดงานมากว่า 1 เดือนแล้ว มันตอบกลับาทันทีเลยว่า ไม่ต้องมันมีเอกสารทุกอย่างอยู่ที่นี่แล้ว เค้าเลยโทรมาหาผม หลังจากวางหูไปเท่านั้นแหละ ผมกับเจ้าสาวถึงกับหน้ามืด เพราะว่าเราสองพึ่งจะยื่นเรื่องไปเอง ถ้าโดนยกเลิกมาล่ะก็ความพยายามที่ผ่านมากว่า 2 ปี ก็เท่ากับสูญเปล่า สาเหตุที่ผมถูก immigration เรียกตัวไปก็เพราะว่าพอตอน Financial Year เค้าก็จะมีการตรวจสอบรายได้เจ้าหน้าที่พนักงานไงครับ พอดีผมทำงานซะแบบว่า มากกว่า 555 เค้าลองมาดูประวัติพนักงาน ดันเป็นแค่่วีซ่านักเรียนเท่านั้น ทีนี้ทาง immigration เค้าดูประวัติการทำงานทั้งหมดของผมจากทางบริษัท เท่านั้นแหละความบรรลัยเลยมาเยือน


aboutaus_0017.jpg


ผมก็ใจดีสู้เสือล่ะครับ พกเครื่องลางของขลังที่พ่อแม่พี่น้องให้มา เข้าไปเจอกับเจ้าหน้าที่ immigration สถานที่ที่เค้านั้นไปก็เจ้าตึก 300 Elizabeth St. มันเป็นสถานที่กักกันคนต่างด้าวก่อนที่จะส่งไปที่ Villawood น่ะครับ(จะไม่กลัวได้ไงอ่ะ) อย่างแรกที่เจ้าหน้าที่เจอผม เค้าไม่พูดร่ำทำเพลงอะไรเลย หยิบเอกสารประวัติการทำงานผมให้ดูแสดงว่ามันมีหลักฐานนะ แล้วหลังจากนั้น มันก็ยกเลิกวีซ่าผมทันที (น้ำตาแทบเล็ด) แล้วหลังจากนั้นมันก็สัมภาษณ์เรื่องราวผมไปเรื่อย เช่น เค้าถามว่าผมทำงานเกินจริงมั้ย แหม ไหนวีซ่ามันก็ยกเลิกไปแล้ว เพื่อเราพูดจริง ยอมรับ มะจะเห็นใจเรา แถมเอกสารมันมีครบมือตั้งวันแรกที่เราทำงานมาตลอดปีกว่า เราจะไปสตอเบอแหลได้ยังไง เราตอบไปเลยว่ารู้ครับ เท่านั้นแหละครับ มันบอกว่าต้องกลับบ้านภายใน 14 วัน (หนักกว่าเดิมอีก)


แต่ที่แย่กว่านั้นเจ้าหน้าที่ immigration มันจะยกเลิกวีซ่าเจ้าสาวผมผู้ให้การติดตามผมด้วยน่ะสิ คราวนี้เรื่องการขอ P.R. ผมก็จบ พังทลายทันทีน่ะสิ (ขอโทษนะเมียจ๋า) แต่ด้วยว่าผมเตรียมตัวค่อนข้างดี พกทนายคู่ใจไปด้วย เค้าเลยบอกว่าให้ตรวจสอบให้ดีก่อน เพราะว่าเจ้าสาวผมเป็น main ผู้สมัคร P.R. ดังนั้นไม่สามารถยกเลิกได้ เค้าก็ตรวจสอบไปทางสำนักงานใหญ่ สรุปว่าวีซ่าของเจ้าสาวผมยังปลอดภัยดี ส่วนของผมทนายใจดียังสู้ต่อไป ว่าผมเองก็ยื่นเรื่องของ P.R. ไปเมื่อเดือนสองเดือนแล้ว ดังนั้นยังมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่ เท่านั้นแหละครับ คงเป็นเพราะว่าผมโชคดียื่นเรื่อง P.R. ไปเมื่อเดือนก่อน เจ้าหน้าที่ immigration มันเลยออก Bridging visa แต่มีข้อแม้ว่าห้ามทำงานใดๆทั้งสิ้น ผมก็เอาไปก่อนล่ะครับ ถือว่าชดใช้กรรมเก่า แถมอย่างน้อยก็ไม่ต้องกลับบ้านโดนจับไป Villawood ส่งตัวกลับ 14 วัน เห้อ...


ทุกวันนี้ผมก็อยู่โดยเรียกว่าขอ Holiday หน่อยล่ะครับหลังจากที่ทำงานหนักมา 3 ปี คราวนี้ก็เป็นตาว่าที่เจ้าสาวผมล่ะครับที่คอยหาเลี้ยงผม (ดีมั้ยล่ะ) โชคดีที่พอมีเงินเก็บนิดหน่อย แถมเรารู้ๆกันอยู่ งาน cash in hand ก็มีเยอะแยะ ก็พอเพียงกินอยู่และจ่ายค่าบ้านไป ก็หวังว่าจะได้ P.R. ในเร็ววันนี้ก็พอล่ะครับ แล้วหลังจากนั้นจะมาเล่าเรื่องสนุกให้เพื่อนๆฟังอีก ผมน่ะมีงานแปลกๆเพียบ ส่วนเพื่อนๆที่ทำงานเงิน กว่า 20 ช.ม. แบบเสียภาษีนะครับ ต้องคอยระมัดระวังตัวด้วย อาจจะไม่ได้โชคดีเหมือนผมนะที่รอดออกมาได้ ดังนั้นก็อยากจะเตือนเพื่อนๆ เรื่องที่เห็นว่าน่าจะง่าย แต่มันไม่ง่ายดั่งที่คิดนะคร๊าบบ...ป

 



NATUI Officially 2008-04-18 14:42:36 21945