ผิวหนังของคนเราที่ดูสดใสอยู่ได้เพราะมีส่วนประกอบของน้ำ น้ำมัน และสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติอยู่ในเซลล์ของผิวหนังส่วนต่างๆส่วนประกอบที่มีมาก และมีความสำคัญของเซลล์ผิวหนัง คือ น้ำ ถ้าเซลล์ผิวหนังชั้นนอกเกิดขาดแคลนน้ำก็จะแห้งแตก ลอกเป็นขุย คัน น้ำมันจากต่อมไขมันฉาบเคลือบหล่อเลี้ยงผิวหนังจะเป็นตัวช่วยไม่ให้น้ำระเหยออก ป้องกันการสูญเสียน้ำจากเซลล์ผิวหนัง
ส่วนสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติจะช่วยดึงดูดน้ำไว้ให้อยู่กับผิวหนัง ถ้าสิ่งเหล่านี้ลดน้อย และขาดหายไปก็จะมีสภาวะผิวแห้ง ซึ่งมักจะพบในเด็ก และผู้สูงอายุ
ตามปกติ ต่อมใต้ผิวหนังจะผลิตน้ำมันที่เรียกว่า 'ซีบัม' ซึ่งจะทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น และมีความนุ่มยืดหยุ่นดี แต่ในช่วงที่อากาศเย็น และแห้ง อาจทำให้ผิวหนังแห้ง แตกเป็นขุย คัน และหยาบกระด้าง อาการผิวแห้งคันพบได้บ่อยในหน้าหนาว เนื่องจากอากาศแห้ง ดูดน้ำออกจากผิวหนัง ในผู้สูงอายุจะเกิดภาวะผิวแห้งกว่าปกติได้มากกว่าวัยอื่น นอกจากนี้ โรคผิวหนังแห้งแตกคันเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยในหน้าหนาว
บริเวณที่เป็นผิวแห้งได้ง่าย คือที่ใบหน้า หลังมือ แขน และผิวหนังทั่วร่างกาย คนที่ผิวหน้าแห้งจะทำให้เป็นฝ้าได้ง่าย ซึ่งเกิดจากการที่ผิวหน้าขาดน้ำมันไปหล่อเลี้ยงผิว หรือผิวไม่สามารถเก็บความชุ่มชื่นเอาไว้ได้ พบว่าคนที่มีผิวหน้าที่แห้งจะมีลักษณะของรูขุมขนที่แคบ ผิวแห้งกร้าน และเกิดริ้วรอยได้ง่ายเมื่อมีอายุมากขึ้น ถ้าผิวแห้งมากก็จะทำให้เกิดผิวหน้าเป็นขุยได้ง่ายขึ้น
ปัจจัยส่งเสริมให้เกิดผิวแห้ง
- ฤดูหนาว ช่วงหน้าหนาวส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องผิวแห้ง บางรายอาจมีอาการผิวหนังอักเสบจากผิวแห้งร่วมด้วย โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคผื่นผิวหนังอักเสบที่เกิดจากภูมิแพ้ มักจะมีอาการมากขึ้นในช่วงหน้าหนาว พบว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้อาการที่เกิดจากผิวแห้งกำเริบมากขึ้น โดยเฉพาะอากาศแห้ง หรือการที่มีความชื้นในอากาศลดลงเมื่อเทียบกับฤดูอื่นๆ
- การอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ ผลเสียของการอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ จะทำให้เกิดอาการผิวแห้ง เนื่องจากเครื่องปรับอากาศจะปรับเฉพาะอุณหภูมิ ไม่ได้ปรับความชื้นควบคู่กันไปด้วย จึงทำให้ผิวแห้งและมีผื่นคันตามมา เมื่อเกิดอาการคัน ก็มักจะเข้าใจผิดว่า สาเหตุคงมาจากความสกปรกหรือจากเชื้อโรค จึงชำระร่างกายด้วยสบู่หรือสบู่ยา ทำให้ผิวแห้งมากยิ่งขึ้น และจมีอาการระคายเคืองมากขึ้นด้วย
- ความชื้นของอากาศต่ำทำให้ผิวแห้งแตก บางคนมีอาการที่มีผิวหนังลอกเป็นขุยหลังจากไปต่างประเทศโดยเฉพาะเมืองหนาว เกิดจากความชื้นในอากาศต่ำทำให้ผิวแห้งแตก และอาจเกิดการอักเสบตามมา บางครั้งการอักเสบมีมากจนทำให้มีผิวลอก แห้งและคันได้ อาการผิวแห้งมักเป็นหลังจากที่สัมผัสอากาศแห้งประมาณ 2-3 สัปดาห์ ซึ่งเป็นเวลาที่ชั้นหนังกำพร้าหลุดลอกตัว
- การอาบน้ำอุ่นจัดๆ เมื่ออากาศหนาวคนนิยมอาบน้ำอุ่น ทำให้รู้สึกสบายผ่อนคลาย แต่น้ำอุ่นจะชะล้างไขมันที่ชั้นผิวหนังหรือชั้นขี้ไคลออกง่าย ทำให้ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น การถูสบู่ที่เป็นด่างสูงยิ่งล้างไขมันออกจากผิวหนัง ทำให้ไม่มีฟิล์มป้องกันการระเหยของน้ำ ส่งผลให้ผิวแห้ง ใช้มือลูบแล้วสาก มีอาการคัน ผู้ที่มีคันผิวหนังในหน้าหนาว พบว่า เกือบทุกรายเกิดจากผิวแห้ง บางรายแห้งมากมีรอยแตก แดง อักเสบ
- การอาบน้ำบ่อย
- การขัดถูแรงๆ หรือใช้สบู่ฟอกมากเกินไป จะชะล้างไขมันและสารให้ความชุ่มชื้นออกไป ทำให้เสียน้ำมากขึ้น ผิวแห้งมากขึ้น
- ผู้สูงอายุจะมีผิวหนังที่บาง และแห้งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนสูงอายุ เนื่องจากการสร้างชั้นไขมันที่ผิวหนังมีน้อยกว่าวัยอื่น ยิ่งอายุมากขึ้นการสร้างไขมัน ความยืดหยุ่นของผิวจะน้อยลง เมื่อยิ่งอาบน้ำอุ่น ถูสบู่มากๆ ทำให้ชั้นไขมันที่ผิวหนังไม่มี ยิ่งทำให้ผิวแห้งแตกคัน ป้องกันได้โดยทาโลชั่น ลดการใช้สบู่เพราะหน้าหนาวไม่ค่อยมีเหงื่อ ไม่ต้องถูมาก การอาบน้ำอุ่นไม่ควรอาบน้ำอุ่นจัด ให้อุ่นบ้างเล็กน้อยก็พอ
การป้องกัน และดูแล
- อาบน้ำที่ไม่ร้อนจัด คนผิวแห้งไม่ควรอาบน้ำร้อน เพราะเมื่ออุณหภูมิสูง น้ำจะระเหยออกจากร่างกาย การอาบน้ำร้อนจะทำให้น้ำระเหยออกไปได้มากขึ้น ผิวจะยิ่งแห้ง
- ถูตัวเพียงเบาๆ
- เลือกใช้สบู่อ่อน
- ไม่อาบน้ำบ่อยเกินไป ข้อแนะนำในการดูแลผิวที่แห้งนั้น ควรต้องลดการฟอกสบู่ และอาบน้ำลง เช่น อาบน้ำเพียงวันละครั้ง หรือไม่ต้องฟอกสบู่ทั้งตัว แต่ให้ฟอกบริเวณที่มีความอับชื้นแทน เช่น ตามหน้าอก หรือ ข้อพับ ไม่อาบน้ำบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้งมากขึ้น
- เพิ่มปริมาณน้ำให้กับผิวหนังโดยใช้ครีมที่ทำให้ผิวนุ่ม เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของสารยูเรีย ทาบางๆ หลังอาบน้ำขณะที่ผิวยังเปียกอยู่วันละ 2-3 ครั้ง เวลาไปไหนก็ควรพกครีมบำรุงผิวขนาดเล็กติดตัวไปด้วย ถ้าหากรู้สึกว่าผิวแห้งก็เอาขึ้นมาทาผิว อาจจะทาแขน ทามือ เท่าที่สะดวก
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาทาประเภทคาลาไมน์ เพราะจะทำให้ผิวหนังแห้งตึงมากขึ้น
- ถ้าต้องทำงานในห้องแอร์ ก็ควรจะใส่ใจการบำรุงผิวให้มากขึ้น อาจใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว และโลชั่นที่มีความเป็นกรดเป็นด่างใกล้เคียงกับผิว ซึ่งจะช่วยรักษาสมดุลของผิวพรรณตามธรรมชาติ และเสริมสร้างชั้นปกป้องผิว พิจารณาเติมความชื้นให้อากาศภายในห้อง โดยการปลูกต้นไม้ หรือจัดตู้เลี้ยงปลา หรืออาจจะวางภาชนะบรรจุน้ำไว้หลายๆ จุดภายในห้อง บางคนอยู่ที่ทำงานนั่งอยู่ห้องแอร์ทั้งวัน อาจจะเข้าห้องน้ำไปทาครีมทั้งแขนและขา คนที่ผิวแห้งมากๆ ก็มักจะรู้สึกแห้งกว่าปกติอยู่แล้ว
- ดื่มน้ำให้มากๆ และรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยวิตามินเอ บี และซี การดื่มน้ำมากๆ ไม่ควรดื่มทีเดียวหลายๆ แก้ว แต่ให้ใช้วิธีจิบน้ำบ่อยๆ จะช่วยให้ร่างกายชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา ควรงดของเค็มๆ หรือขนมขบเคี้ยว เพราะจะทำให้การสูญเสียน้ำในร่างกายมากขึ้น นอกจากนี้ควรดูแลสุขภาพทั่วไปด้วยการออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 ครั้ง จะทำให้สุขภาพกายและใจดีขึ้น
ชนิดของสบู่
ชนิดของสบู่ที่ใช้ก็มีส่วนที่ทำให้ผิวแห้ง สบู่ที่มีส่วนผสมของสารเพิ่มความชุ่มชื้น จะช่วยไม่ให้ผิวแห้ง พิจารณาใช้สบู่ที่ทดลองใช้แล้วสบายตัว ไม่ทำให้ผิวแห้ง ไม่จำเป็นต้องซื้อประเภทที่มีราคาแพง
#news#
โลชั่น
เวลาอาบน้ำเสร็จ ถ้าทาผิวหนังโดยเฉพาะบริเวณแขนและขา ด้วยโลชั่นหรือครีม จะช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้นได้ วิธีดูแลผิวพรรณช่วงอากาศหนาว ที่สำคัญไม่ควรอาบน้ำอุ่นจัด เนื่องจากเป็นการชะล้างไขมันในผิวชั้นขี้ไคล ส่งผลให้น้ำในร่างกายระเหยได้เร็ว และควรทาโลชั่นหลังการอาบน้ำเป็นประจำโดยเฉพาะวัยสูงอายุ ลดการถูสบู่ที่เป็นด่างสูง
ส่วนคนที่ว่ายน้ำในสระที่มีคลอรีนผิวจะแห้งกว่าคนทั่วไปต้องทาโลชั่นเป็นประจำ โลชั่นทาได้ตามสบาย มีความปลอดภัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ แนะนำว่าหลังอาบน้ำให้ทาโลชั่นเป็นกิจวัตร ไม่ใช่หน้าหนาวก็ควรทาเป็นประจำ อย่าอาบน้ำอุ่นจัด ควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดด การตากแดดมากทำให้ผิวแห้ง ผิวเสื่อมและแห้งเร็ว ก่อนออกแดดควรใช้ยากันแดด
การขัดผิวด้วยน้ำนม
กรดแลกติกในน้ำนมจะลอกเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออก รวมทั้งช่วยทำให้ผิวหนังเก็บความชื้นได้ดีขึ้น
แช่ผ้าขนหนูหรือผ้าสำลีในนมเย็น แล้วนำผ้ามาวางประคบบนผิวหนังส่วนที่แห้ง หรือระคายเคือง ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างนมออกอย่างนุ่มนวล เพื่อให้กรดแลกติกหลงเหลืออยู่บนผิวหนัง
ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ