2024-11-15

คุณค่าของการมองกันในแง่ดี






อ.ประณม ถาวรเวช

คุณเคยรู้สึกบ้างไหมว่า เวลาอยู่กับคนที่จ้องแต่จะตรวจสอบหรือจับผิดเรานั้น มันช่างวางตัววางใจได้ลำบากยากเย็น ผิดกับเวลาที่อยู่กับคนซึ่งไว้ใจกัน เป็นมิตรต่อกัน ไม่ว่าจะพูดคุยหรือทำงาน ก็จะรู้สึกปลอดโปร่ง ผ่อนคลายอยู่ตลอดเวลา

ไม่ว่าจะมองกันอย่างไร ร้ายหรือดี ทั้งหมดเป็นเรื่องของทัศนคติและอุปนิสัยที่ต้องได้รับการเอาใจใส่ ตรวจสอบ และแก้ไขปรับปรุงให้ดีกว่าเดิมเสมอ เพื่อความสุขในการอยู่ร่วมกัน และเพื่อพลังสร้างสรรค์ที่ข้องเกี่ยวกับกิจการงานและการดำเนินชีวิตด้วย

ความหวาดระแวงเป็นอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ และมันข้องเกี่ยวกับกลไกการป้องกันตัวเองด้วย

สำหรับร่างกายและสมองที่ทำงานอย่างสัมพันธ์กันแล้ว ความหวาดระแวงเหมือนยาอย่างหนึ่ง ที่หากให้ในระดับอ่อนๆ หรือในระดับที่เหมาะสม กลไกการปกป้องตัวเองจะทำงานได้ดี มีประสิทธิภาพ

แต่หากมีความหวาดระแวงมากเกินไป ก็เหมือนร่างกายและจิตใจได้รับยาพิษ ฤทธิ์ของมันรุนแรง ทำให้กลไกการปกป้องตัวเองมีสูงเกินความจำเป็น ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวล กลัว และจะต้องปกป้องตัวเองอยู่ตลอดเวลา

คนที่มีความหวาดระแวงในระดับเข้มข้น จะเป็นคนที่ไว้ใจคนยาก ไม่ค่อยเชื่อใจใคร ทำอะไรก็มักจะลงมือทำเอง เพราะไม่เชื่อมือคนอื่น หากได้ลงมือทำด้วยตัวเองแล้ว จะสบายใจกว่า และหากไม่สามารถควบคุมระดับของความหวาดระแวงได้ เขาจะกลายเป็นคนที่จ้องจับผิดคนอื่น กลัวคนอื่นดีกว่าตัวเอง กลัวว่าตัวเองจะด้อยกว่าหรือพลาดโอกาสที่ดี จึงมีนิสัยชอบแข่งขันไปโดยอัตโนมัติ ทั้งๆ ที่บางครั้งอีกคนหนึ่งไม่รู้เลย ว่าถูกจับไปเป็นคู่แข่ง

เราทุกคนมีหน้าที่เรียนรู้อารมณ์และจิตใจของตัวเอง เพื่อจะได้จับ ปรับ และเปลี่ยนแปลงมันได้อย่างทันท่วงที

“จับ” หมายถึงรู้ความเคลื่อนไหวของอารมณ์ รู้ว่าเวลานี้อารมณ์บางอย่างก่อตัวขึ้นแล้ว เช่น อารมณ์โกรธ รัก เกลียด กลัว เบื่อ ไม่เชื่อ หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน คิดถึง ฯลฯ อารมณ์ที่เกิดขึ้นนี้ หากไม่รู้ตัวหรือจับไม่ติด โอกาสที่มันจะทวีความเข้มข้น หรือความรุนแรงขึ้นโดยอิสระก็มีมาก จนหลายครั้งเราไม่สามารถควบคุมอารมณ์บางอย่างในตัวเราได้ และทำให้เรากลายเป็นทาสของอารมณ์

หากมันสั่งให้กรี๊ดในยามโกรธ เราก็กรี๊ดออกไปโดยอัตโนมัติ มันสั่งให้ต่อยหรือยิงในยามกลัว ก็สามารถทำได้ทันที มันสั่งให้ด่าเมื่อเกลียด ปากก็ด่าออกไปทั้งๆ ที่บางทียังไม่ทันคิดอะไรด้วยซ้ำ แต่อารมณ์ที่เราจับไม่อยู่ จับไม่ติดนั้น มันสั่งการโดยสัมปชัญญะของเราตามไม่ทัน นั่นคือมูลเหตุที่เราทุกคนต้องฝึกการมีสติ โยมีสัมปชัญญะ คือความรู้ตัวทั่วพร้อม คอยกำกับ

เมื่อ “จับ” อารมณ์ทันแล้ว ก็อุ้มมันไว้ แล้วค่อยๆ ปรับมันให้โน้มเอียงไปในทางสร้างสรรค์หรือทางบวก อย่าปล่อยให้มันแผลงฤทธิ์หรือกำเริบไปในทางทำลาย เพราะอานุภาพของอารมณ์นั้น รุนแรงยิ่งกว่าพายุหรือปรมาณู

เมื่อจับอยู่ ปรับได้ ต่อไปก็ฝึกที่จะเปลี่ยนแปลงมัน หรืออบรมมันให้ดี ให้รู้สึกก่อนที่จะทำอะไรลงไป ให้ดีงาม ให้สร้างสรรค์จนเป็นธรรมชาติ และไม่วกกลับไปในทางลบหรือทางทำลายอีก

คนเราเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีใครเลวร้ายอยู่ชั่วนาตาปีหรอก ขอเพียงให้เขารู้ว่าเวลานี้เขาเป็นอย่างไร และมันมีผลดีผลเสียกับเขาอย่างไร แล้วสร้างแรงจูงใจหรือเหตุปัจจัยที่ทำให้อยากปรับเปลี่ยน เพื่อความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีของชีวิตโดยรวม เชื่อว่าทุกคนจะสนใจและลงมือทำแน่ๆ

พอเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ให้เราหมั่นทบทวนว่าทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่าง และทุกๆ คนนั้น มีสองด้านอยู่ในตัวเองเสมอ ด้านที่เราควรมองและควรแสดงออกให้มาก ก็คือด้านที่ดี

การมองเห็นด้านที่ดีของกันและกัน ทำให้จิตใจของทั้งสองฝ่ายเปิดกว้าง


จิตใจที่เปิดกว้างทำให้เกิดการยอมรับ รู้สึกว่าเป็นพวกเป็นเพื่อน ต่อไปแม้จะมีอะไรหนักนิดเบาหน่อย ก็ยังให้อภัยและให้โอกาสกันเสมอ ไม่ด่วนตัดสินแล้วรีบตัดรอน ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับการด่วนตัดสินกัน เพราะหากการตัดสินครั้งนั้นๆ ขาดข้อมูลความจริง ก็จะเป็นการตัดสินที่ผิดพลาด ก่อให้เกิดผลเสียทั้งแก่ตัวเองและคนที่ถูกเราตัดสิน

เราทุกคนต้องเป็นคนมองโลกในแง่ดี โลกมีแง่ดีๆ ให้เรามองมากมาย มองเห็นให้ได้ มองหาให้เจอ เพื่อที่การอยู่ร่วมกันในทุกๆ วัน หรือการจะต้องติดต่อ พบปะ เจอะเจอ จะส่งผลต่อเนื่องในทางบวก คือพูดดีต่อกันได้ คิดดีต่อกันเสมอ และทำดีต่อกันอยู่ตลอดเวลา

บ้านใด ออฟฟิศใด ชุมชนใด สังคมใดก็ตาม ที่คนคิดดี พูดดี และทำดีต่อกัน ที่แห่งนั้นจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ซึ่งเป็นสัญญาณของความผาสุก

#news#
3 บุคลิกภาพที่จะนำไปสู่ความคิดบวก
เพื่อจะนำสู่การมองกันในแง่บวก บุคลิกภาพของแต่ละคนถือเป็นจุดตั้งต้นค่ะ


บุคลิกภาพดีๆ ย่อมไม่ก่อความรู้สึกร้ายในแวบแรกที่เห็น ดังนั้น การกำหนดบุคลิกภาพ หรือการรู้จักวางตัวให้เกิดเครื่องหมายบวกในความรู้สึกของคนรอบข้าง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราทำได้ โดย

1.มีท่าทีที่ผ่าเผย เปิดกว้าง และเป็นมิตร
ท่าทีที่ว่า ขอเจาะลึกเฉพาะอวัจนภาษา คือกิริยาที่เราไม่ได้พูด แต่มันสื่อความหมายบางประการออกไป เช่น การมอง หากมองด้วยหางตาก็จะสร้างความรู้สึกลบ แต่หากมองแบบเต็มๆ ด้วยประกายตาปกติ หรือเจือไปด้วยความเป็นมิตร ก็จะสร้างความรู้สึกที่ดีได้มากกว่า แต่ต้องไม่ใจการสบตาแบบจ้องหน้าหรือประสานสายตาแบบหาเรื่อง

การเดิน หากเดินอย่างระวัดระวัง เห็นหัวคนอื่น เห็นว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย มีความสำรวมและนอบน้อมตามควร ก็จะก่อความรู้สึกที่ดีมากกว่าเดินเริด เชิด หยิ่ง และไม่เห็นหัวใคร เหล่านี้เป็นต้น

ความผ่าเผยยังสะท้อนผ่านท่าทีที่เป็นมิตร พร้อมจะจะเปิดกว้าง ทำความรู้จักกับคนอื่นๆ หรือพร้อมที่จะเปิดใจรับเพื่อนใหม่ๆ ยิ้มแย้มแจ่มใจ และให้โอกาสเขาได้พูด คุย แสดงตัวตนของเขาตามสมควร ท่าทีอย่างดีสร้างมิตรที่ดีมากกว่าศัตรูที่ร้ายกาจแน่นอน

2.คิดก่อนพูด พูดแต่สิ่งที่สมควร
คำพูดและกิริยาขณะพูด เป็นตัวกำหนดการถูกมองในแง่ดีและในแง่ร้ายเอาไว้อย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าการแต่งเนื้อแต่งตัวของคุณจะดูดีแค่ไหน ประวัติชีวิตจะเลิศเลอปานใด แต่ทันทีที่พูด คุณก็จิกกัดเขา สร้างความต่ำต้อยอับอายให้เกิดแก่เขา ทุกสิ่งทุกอย่างในทางดีที่มีในตัวคุณก็จะมลายหายวับ กลายเป็นนางมารร้าย และหลังจากนั้น คุณจะถูกมองและถูกพูดถึงในทางร้ายไปอีกนานทีเดียว

ฉะนั้น คิดก่อนพูด เพื่อไตร่ตรองว่าสิ่งนั้นควรพูดออกไปหรือไม่ ควรพูดอย่างไร ควรพูดเมื่อไหร่ คิดเสียให้เสร็จก่อน อย่าสนุก คะนองปาก หรือใช้ปากเป็นอาวุธโดยไม่จำเป็นหรือไม่ดูกาลเทศะ และต้องพูดอย่างสุภาพ ด้วยน้ำเสียงที่ดี น่าฟัง และไม่มีความหมายแฝงที่ต่างไปจากตัวคำพูดที่พูดออกไป กิริยาท่าทางขณะพูดก็ต้องผ่าเผย จริงใจ ไม่สื่อสารผ่านท่าทางแฝงด้วยเช่นกัน

3.จริงใจและไว้ใจ
หมายถึงต้องมีความจริงใจต่อคนทุกคน และทำให้เขารู้สึกว่าคุณไว้ใจได้ หากผ่านความรู้สึกนี้มาได้แล้ว ต่อให้คุณมีน้ำเสียงอย่างไร ใช้คำพูดผิดไป หรือผิดพลาดในบางกาลเทศะ คุณก็ยังถูกมองอย่างดีอยู่เหมือนเดิม เพราะได้รับการให้อภัย ไม่เก็บเอาไปถือสาหรือด่าว่าลับหลัง เพราะโดยเนื้อแท้ คุณมีความจริงใจ ไม่ใช่คนประเภทหน้าไหว้หลังหลอก หรือปากอย่างใจอย่าง ข้อนี้ต้องผ่านกาลเวลาจนเกิดความเชื่อใจ ไม่ใช่ปุบปับก็จะรู้สึกได้เหมือน 2 ข้อแรก


บทความดี ๆ จาก www.sanook.com
NATUI Officially 2009-11-22 02:00:27 6782