เคยสังเกตุไหมว่า...ในงานแต่งงานของคู่บ่าวสาว เมื่อจบพิธีแต่งงานแล้ว เป็นอันต้องปิดท้ายด้วยการที่เจ้าสาวต้องหันหลังโยนช่อดอกไม้ให้กับสาวโสดที่มาร่วมงาน ให้ยื้อยุดฉุดแย่งกันอยู่เป็นประจำ
นั่นก็เป็นเพราะว่าได้รับอิทธิพลมาจากทวีปยุโรปนั่นเอง...ก่อนอื่นต้องขอเท้าความไปเมื่อประมาณ 1600 ปีก่อน (โอ้ว!นานสุดยอด) ชาวยุโรปถือว่าชุดสาวเป็นของมงคล เป็นตัวแทนแห่งความสุข หากใครได้ไปครอบครองก็จะมีแต่ความสุขสมหวัง โดยเฉพาะสาวโสดที่เชื่อกันว่า ถ้าได้ชุดเจ้าสาวนี้ไปครอบครองก็มีสิทธิ์ได้ย้ายออกจากคานทองนิเวศน์เป็นการถาวร
ดังนั้น สาวโสดในงานแต่งงาน เมื่อประมาณ 1600 ปีก่อน เมื่อได้มาร่วมงานแต่งทั้งที ก็ต่างตั้งตารอให้ถึงธรรมเนียมการโยนชุดเจ้าสาว แต่ด้วยความที่ใจร้อนหรือคู่แข่งเยอะก็มิอาจทราบได้ บรรดาสาวโสดทั้งหลายจึงไม่ค่อยจะยอมรอให้เจ้าสาวถอดชุดแล้วส่งมอบ หรือโยนให้ดี ๆ แต่กลับยื้อแย่งกันจนชุดเจ้าสาวขาดวิ่นคามือจนเป็นธรรมเนียมกันไป...ลองนึกภาพเจ้าสาวตอนนี้ดูสิคะ ว่าจะน่าสงสารแค่ไหน เพราะไม่เพียงแต่ชุดจะขาดจนตัวเองต้องโป๊ต่อหน้าประชาชีที่มาร่วมงานแล้ว ยังต้องเจ็บตัวอีกต่างหาก...(- -)
ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุคขนมปังยาก หมากฝรั่งแพง คล้าย ๆ กับสุภาษิตไทยที่ว่า เข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพงนั่นเอง จะทำอะไรก็ต้องเซฟเงิน เซฟทองให้มากที่สุด ธรรมเนียมการยื้อแย่งชุดเจ้าสาว ที่ลงทุนตัดมาเสียแพงจึงถูกปรับเปลี่ยน โดยการนำเอาสิ่งของอย่างอื่นมาใช้เป็นของนำโชคให้แก่สาวโสดแทน
ธรรมเนียมโยนช่อดอกไม้ จึงได้รับการปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันค่ะ...^^
ที่มา: www.sanook.com