1. แป้งอเนกประสงค์ (All-Purpose Flour) 1 ถ้วยตวง
2. น้ำตาล1 ถ้วยตวง
3. เกลือ1/2 ช้อนชา
4. ผงโกโก้แบบไม่ผสมน้ำตาล (ใช้แบบ Dark Chocolate ถ้ามี)1/4 ถ้วยตวง
5. ผงฟูโซดา (Baking Soda)1 ช้อนชา
6. ผงฟู (Baking Powder)1/2 ช้อนชา
7. กาแฟสำเร็จรูปพร้อมชง (optional)2 ช้อนชา
8. กลิ่นวานิลลา1 ช้อนชา
9. ไข่ไก่1 ฟอง
10. นมเปรี้ยว (Buttermilk)1/2 ถ้วยตวง
11. น้ำมันโอลีฟ1/2 ถ้วยตวง
12. น้ำต้มเดือด1/2 ถ้วยตวง
วิธีทำ
ก่อนอื่นนะคะ เปิดเตาอบเตรียมรอไว้ก่อนเลย (preheat) ไปที่ 350 F (180 C) สำหรับใครที่มีเป็นเตาใหญ่ ๆ นะคะ เราจะใช้แร็กกลางในการอบสำหรับถาดอบเค้ก ให้ใช้น้ำมัน หรือเนยจืดทาบาง ๆ หล่อลื่นเล็กน้อย ก่อนเทเนื้อเค้กลงอบนะคะ
1. ผสมส่วนผสม 8 ข้อแรกเข้าด้วยกันทั้งหมด (ของแห้ง) แล้วคนให้กระจายทั่วกัน กาแฟสำเร็จรูปพร้อมชงนั้น จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ แต่เนื่องจากเราไม่มีกลิ่นวานิลลา เลยใช้ผงกาแฟรสวานิลลาแทน ซึ่งก็ใช้ได้เหมือนกัน
2. ค่อย ๆ เติมส่วนผสมเปียกที่เหลือ และค่อย ๆ คนให้เนื้อแป้งเข้ากัน (อย่าคนแรง) โดยใส่น้ำเดือดเป็นลำดับสุดท้าย
3. หลังจากเนื้อแป้งเข้ากันดีแล้ว เทลงถาดพิมพ์เค้ก ซึ่งของเราไม่มีแบบทรงสูง จึงใช้ถาดไพเร็กซ์แทน ใช้ได้ได้เหมือนกัน ใส่เข้าเตาอบเป็นเวลา 25 นาที ที่อุณหภูมิ 350 F หลังจากนั้น ยกออกมาแล้วลองเอาไม้จิ้มฟัน จิ้มดูที่ตรงกลางของเค้ก ถ้าไม้จิ้มฟันแฉะ ให้เอาเข้าไปอบเพิ่มอีกซัก 5-7 นาที ถ้าแห้งแล้ว ก็ยกออกมาได้เลยค่ะ
เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ได้เค้กช็อคโกแลตอร่อย ๆ ไปเสิร์ฟกับไอศครีม หรือนมสดรสจืด แล้วล่ะ
Tips
ถ้าใครอยากได้รสช็อคโกแลตเข้ม ๆ ให้เลือกใช้ผงโกโก้แบบทำจาก Dark Chocolate หรือถ้าไม่มี ก็เพิ่มอัตราส่วนผงโกโก้เป็น 1/4 ถ้วยตวง + 1 ช้อนชา ... หรือถ้าใครไม่ชอบเค้กรสหวานเกินไป ก็ลดจำนวนน้ำตาลลงเหลือ 3/4 ถ้วยตวง ก็พอง
สำหรับ Buttermilk นั้น เราไม่แน่ใจว่าภาษาไทยคือนมเนย หรือนมเปรี้ยวกันแน่ แต่มันก็คือนมเปรี้ยว ๆ นี่ล่ะ ถ้าไม่มี ให้ใช้ผสมน้ำมะนาว 1 ช้อนชาลงกับนมสดธรรมดา แล้วทิ้งไว้ซัก 5 นาที แทนก็ได้ อนึ่ง ควรใช้นมแบบไม่พร่องไขมัน เพื่อความมันอร่อย แต่รู้สึกนมเมืองไทยจะพร่องไขมันหมดนะ
สำหรับน้ำมันที่ใช้ผสมในเค้กนั้น ใช้ olive oil, canola oil, hazelnut oil หรือน้ำมันอื่น ๆ ก็ได้ ไม่ต่างกัน ไม่ส่งผลต่อรสชาติของเค้ก (ยกเว้นถ้าใช้เนยจืด ก็จะได้รสเนยเพิ่ม อร่อยฮ่ะ) แต่อย่าเผลอไปใช้พวกน้ำมันหมูแทนเข้าล่ะ
ขอบคุณที่มาบทความจาก jeaneis.exteen.com
#news#
