2024-09-25

ส่ง 2 นักเรียนไทยฆ่าฝรั่งออสซี่ เป็นผู้ร้ายข้ามแดน





Image hosting by Natui.com.au


ศาลไฟเขียวส่งตัว 2 อดีตนักเรียนไทยเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ดำเนินคดีประเทศออสเตรเลีย ในคดีฆ่าชาวออสเตรเลีย ชี้แม้ไม่มีสนธิสัญญาฯ แต่ออสเตรเลียเคยเป็นอาณาบริเวณของประเทศอังกฤษ จึงปฏิบัติตามสนธิสัญญากรุงสยามกับอังกฤษ ร.ศ.129...


เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ที่ห้องพิจารณา 801 ศาลอาญา ศาลอ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำ อผ.7/2553 ที่พนักงานอัยการ พนักงานอัยการสำนักงานต่างประเทศ เป็นโจทก์ฟ้อง นายสารัต สีหวีระชาติ อายุ 28 ปี อดีตนักเรียนไทยในประเทศออสเตรเลีย และนายธติยะ หรือกอล์ฟ เทิดภูธรรม อายุ 26 ปี เป็นจำเลยที่ 1-2 เรื่องขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน 


โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 52 จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้มีดแทง นายลุค มิทเชลล์ ชาวออสเตรเลีย ที่ลำตัวหลายครั้งจนถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ถนนซิดนีย์ บรันสวิค รัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย เป็นความผิดอาญาตามกฎหมายออสเตรเลีย มีโทษจำคุกมากกว่า 1 ปี ต่อมาศาลออสเตรเลียออกหมายจับจำเลยทั้งสอง พร้อมประสานถึงสำนักงานอัยการสูงสุดของไทยให้ออกหมายจับจำเลยทั้งสอง กระทั่งจับกุมได้ กระทรวงการต่างประเทศจึงทำหนังสือแจ้งสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย เพื่อดำเนินการส่งตัวจำเลยทั้งสองเป็นผู้ร้ายข้ามแดน 


อย่างไรก็ดี แม้ประเทศไทยและออสเตรเลียจะไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่ออสเตรเลียเคยเป็นอาณาบริเวณของประเทศอังกฤษ จึงปฏิบัติตามสนธิสัญญาว่าด้วยส่งผู้ร้ายข้ามแดนกันในระหว่างกรุงสยามกับอังกฤษ ร.ศ.129 พร้อมกระทำตามสัญญาต่างตอบแทน หากมีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนในอนาคตให้แก่ทางการไทยด้วย 


จำเลยทั้งสองนำสืบว่า ประเทศไทยกับออสเตรเลียไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อกัน ออสเตรเลียไม่ได้อยู่ในบังคับของอังกฤษ สนธิสัญญาดังกล่าวใช้บังคับระหว่างไทยและอังกฤษเท่านั้น อีกทั้งการขอส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไม่ใช่ในลักษณะต่างตอบแทน เนื่องจากออสเตรเลียไม่เคยส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้ประเทศไทยมาก่อน หากส่งตัวจำเลยทั้งสองไป เกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในการต่อสู้คดี เพราะชาวออสเตรเลียชอบเหยียดสีผิวชาวเอเชีย ทั้งคณะลูกขุนเป็นชาวออสเตรเลีย ย่อมมีอคติต่อจำเลยทั้งสอง และหากศาลมีคำพิพากษาจำคุกในออสเตรเลีย จะไม่ได้รับการพระราชทานอภัยโทษเหมือนประเทศไทย


พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ประเทศไทยกับออสเตรเลียจะไม่ได้ทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนโดยตรง แต่ออสเตรเลียเคยเป็นประเทศในอารักขาของอังกฤษ และแม้ว่าออสเตรเลียจะเป็นเอกราชจากอังกฤษแล้วก็ตาม แต่ออสเตรเลียสมัครใจปฏิบัติตามสนธิสัญญาที่อังกฤษเคยทำไว้กับไทย จึงนำมาบังคับใช้กับออสเตรเลียได้ นอกจากนี้ ทางการออสเตรเลียจะปฏิบัติต่างตอบแทนหากทางการไทยขอส่งคนสัญชาติออสเตรเลียเป็นผู้ร้ายข้ามแดน การปฏิบัติต่างตอบแทนนั้น โดยสภาพเป็นการให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตาม จึงไม่จำเป็นต้องเคยทำหรือมีเงื่อนไขส่งผู้ร้ายข้ามแดนไว้ก่อน 


นอกจากนี้ ทางการออสเตรเลียยืนยันว่า จำเลยทั้งสองจะได้รับสิทธิ์เช่นเดียวกับนักโทษคนอื่นในออสเตรเลีย จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งการจัดหาทนายความ การประกันตัว ออกกำลังกาย ดูแลรักษาพยาบาล การศึกษา และหากคดีถึงที่สุดแล้วสามารถขอโอนตัวกลับมาคุมขังที่ประเทศไทยได้ เห็นได้ว่าประเทศออสเตรเลียมีกระบวนการที่น่าเชื่อถือ หากมีการดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองที่ออสเตรเลีย เชื่อว่าจำเลยทั้งสองจะได้รับความเป็นธรรม ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามกฎหมายไทยมีโทษถึงประหารชีวิต แต่ประเทศออสเตรเลียไม่มีโทษประหารชีวิต อีกทั้งกรณีดังกล่าวต้องไปพิสูจน์ความผิด โดยให้ศาลที่มีอำนาจในการพิจารณา อย่างแท้จริง 


ดังนั้น การที่รัฐบาลไทยจะส่งจำเลยทั้งสองไปเป็นผู้ร้ายข้ามแดน จึงไม่ได้เป็นการทำให้จำเลยทั้งสองเสียสิทธิ์ในกระบวนการยุติธรรม รวมถึงไม่ทำให้เสียเปรียบในการดำเนินคดี จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาทั้งหมด มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่จะส่งตัวจำเลยทั้งสองเป็นผู้ร้ายข้ามแดนได้ ไม่เข้าลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายใดๆ จึงมีคำสั่งให้ขังจำเลยทั้งสองไว้เพื่อส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดียังประเทศออสเตรเลีย แต่ไม่ให้ส่งตัวจำเลยทั้งสองออกไปนอกประเทศก่อนครบกำหนด 30 วัน และหากไม่ได้ส่งตัวจำเลยทั้งสองภายใน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งถึงที่สุด ก็ให้ปล่อยตัวจำเลยทั้งสองไป


ทนายความของนายสารัต กล่าวว่า จากนี้จะขอคัดคำสั่งดังกล่าวมาพิจารณา เพื่อยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอนุญาตพิจารณาคดีในประเทศไทยต่อไป ตั้งแต่จำเลยถูกควบคุมตัวได้ทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรม 3 ฉบับ ยื่นต่อกระทรวงการต่างประเทศขอให้พิจารณากรณีการเหยียดสีผิว การทำร้ายร่างกายคนไทย แต่ไม่ได้รับการพิจารณา 


ขณะที่มารดาของนายสารัต กล่าวว่า วันเกิดเหตุเพื่อนลูกชายโทรมาบอกว่าลูกชายถูกแทงที่แขน ด้วยความตกใจจึงบอกให้ลูกเดินทางกลับเมือง โดยลูกบอกว่าไม่ได้เป็นคนทำผิด และขอเรียนให้จบก่อน เนื่องจากเหลืออีกวิชาเดียวจะจบการศึกษาแล้ว ต่อมาลูกจึงเดินทางกลับ ทราบว่าในวันเกิดเหตุลูกไปดื่มสุรากับเพื่อนชาวไทยอีก 2 คน เกิดเหตุทะเลาะวิวาทกับกลุ่มผู้ตาย แต่ไม่ทราบว่าเพื่อนในกลุ่มมีอาวุธติดตัวไปด้วย ขณะเกิดเหตุลูกไม่ได้เป็นคนถือมีด

NATUI Officially 2011-12-02 20:47:31 10774