การเอารูปมาใช้ในเว็บไซต์น่ากลัวกว่าที่ทุกคนคิดกันไว้เยอะครับ เมื่อก่อนเราทำงานส่งครู แค่ Copy รูปจากกูเกิ้ล แล้วเขียนในรายงานว่า “ขอบคุณรูปภาพจาก Google” ก็เสร็จแล้ว แต่ในการทำงานจริง ๆ อาจทำให้เราเสียเงินหลายแสนได้เลยครับ
จาก Case Study ของบริษัทไทยบริษัทหนึ่ง ที่ใช้รูปจาก Google เล็ก ๆ นิดเดียว แล้วโดนฟ้องจากเว็บไซต์ขายรูปรายใหญ่ของต่างประเทศ Getty Image เป็นเงิน 8 แสนบาท จนเกือบทำให้บริษัทเจ๊งไป ก็น่าจะทำให้บริษัทไทยหลาย ๆ บริษัทตระหนักถึงเรื่องลิขสิทธิ์รูปมากขึ้น
จะเห็นว่าพวกลิขสิทธิ์ของรูปก็ฟ้องกันโหดไม่ต่างกับ การใช้ Font ในเว็บไซต์ สัก เท่าไร วันนี้ผมก็มีบทความดี ๆ เกี่ยวกับลิขสิทธิ์รูปในเว็บไซต์มาให้อ่านกันครับ เรื่องนี้สำคัญกับคนทำเว็บไซต์ทุกตำแหน่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟรีแลนซ์ ที่บางทีลูกค้าหารูปมาจากไหนไม่รู้ แล้วเราโดนฟ้องแทนครับ
บทความนี้เรียบเรียงมาจากบทความ Copyright 101: The 10 Things to know about Imagery ของเว็บไซต์ Sitepoint ครับ ท่านใดถนัดอ่านภาษาอังกฤษก็สามารถแวะเข้าไปที่บทความต้นฉบับได้เลยครับผม
ความคุ้มครองทางกฏหมายที่คุ้มครองผู้สร้างเนื้อหา (รูป, เพลง, วีดิโอ, งานเขียน etc.) จากการถูกผู้อื่นนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ตั้งแต่วินาทีที่เนื้อหาถูกสร้างขึ้นมาก็ได้รับการคุ้มครองด้านลิขสิทธิ์แล้ว โดยไม่ต้องไปจดทะเบียนตามกฏหมายก็ได้
ไม่มี แต่ละประเทศมีกฏหมายคุ้มครองลิขสิทธิ์ที่แตกต่างกัน กฏหมายบางประเทศอาจจะสนับสนุนกับกฏหมายอีกประเทศได้ แต่สิ่งที่เหมือนกันทุกประเทศมีอยู่อย่างหนึ่งคือ : ถ้าคุณไม่ใช่เจ้าของลิขสิทธิ์ คุณเอาเนื้อหานั้นไปใช้ไม่ได้
อันนี้ไม่ใช่ข้ออ้างครับ ถึงแม้เราจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็มีความผิดทางกฏหมายอยู่ดี
เจ้า ของเว็บไซต์เป็นผู้รับผิดชอบ ถึงแม้ว่าเขาจะจ้างคนอื่นมาทำเว็บไซต์ให้ เจ้าของเว็บไซต์ก็จะเป็นคนแรกที่ต้องรับผิดชอบเมื่อมีการละเมิดลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม ถ้าการละเมิดลิขสิทธิ์เกิดจากตัวคนทำเว็บไซต์ เจ้าของเว็บไซต์ก็โยนความผิดไปที่คนทำเว็บไซต์ได้
ประเภทเนื้อหาที่กฏหมายไทยครอบคลุม มีดังนี้ (เรียบเรียงมาจากเว็บไซต์ Thailawonline)
(ผม สรุปมาจากที่อ่านร่างกฏหมายคร่าว ๆ ในเว็บไซต์อีกทีนะครับผม ซึ่งท่านใดมีความรู้ที่ถูกต้องกว่าสามารถแจ้งได้ครับ และท่านที่ต้องการความถูกต้อง 100% ทางกฏหมายแนะนำให้ปรึกษานักกฏหมายครับ)
มีหลายทางมากครับ มาดูกันว่าทำยังไงได้บ้าง
เรา ทำกราฟฟิกเอง ถ่ายรูปเอง เขียนบทความเอง มันก็เป็นของเรา 100% ตามกฏหมายครับ นอกจากนั้นเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีก็ช่วยให้เราทำเนื้อหาคุณภาพดีได้ง่ายขึ้น มีโปรแกรมทำกราฟฟิก โปรแกรมตกแต่งภาพที่สะดวกขึ้น ทำให้การทำเนื้อหาขึ้นมาเองไม่ยากจนเกินไป
หรือถ้าทำไม่เป็น ก็มีหนังสือสอนมากมาย รวมถึงเนื้อหาฟรีบนอินเตอร์เน็ตที่จะช่วยให้เราเก่งขึ้นมาได้ นอกจากนั้นในระยะยาวเรายังสามารถขายรูปถ่ายของเราให้กับคนอื่นที่ไม่สนใจจะ ทำเองได้อีกด้วย
หา วันว่าง ๆ สักวันมาถ่ายรูปที่ต้องใช้บ่อย ๆ เช่น เครื่องคิดเลข, โทรศัพท์, มือถือ, ลำโพง, คนจับมือ, เงิน ฯลฯ รับรองว่าจะช่วยเบาเงิน และเบาแรงคุณในอนาคตได้อีกเยอะ
รูปพวกนี้คนส่วนใหญ่มักจะซื้อจากในเว็บไซต์ขายรูปกัน ถ่ายเสร็จก็เอาไปขายได้นะครับ
คุณ สามารถติดต่อกับช่างถ่ายภาพเพื่อขอรูปเค้ามาใช้ในเว็บไซต์ได้ครับ โดยแลกเปลี่ยนกับการให้เครดิตรูปเพื่อช่วยเผยแพร่เจ้าของผลงาน ซึ่งมีคนถ่ายรูปสวย ๆ ทั้งบน Instagram และเว็บไซต์ DeviantArt ที่จะอยากนำผลงานมาลงในเว็บไซต์ของคุณแลกกับเครดิต
อัน นี้เป็นทางออกที่หลาย ๆ บริษัทเลือกใช้กันครับ เป็นการซื้อรูปมาจากเว็บไซต์ขายรูป ซึ่งจะทำให้เราสามารถเอารูปเหล่านั้นไปใช้บนเว็บไซต์ได้อย่างถูกกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เราก็ยังมีโอกาสโดนฟ้องได้ ถ้าเว็บไซต์ที่เราซื้อรูปมาไม่ได้เอารูปนั้นมาขายอย่างถูกกฏหมาย
ถ้า ลองไปค้นดูจะพบว่ามีกรณีที่เว็บไซต์ขายรูปชื่อดัง อย่าง Getty Images หรือ Corbis โดนฟ้องจากเจ้าของรูปที่ไม่เคยเอารูปมาขาย แต่รูปกลับมาโผล่ในเว็บไซต์ให้คนอื่นเข้ามาซื้อได้
จริง ๆ ถ้าจะบอกว่าอย่าเชื่อใครเลยก็ไม่ผิด แต่เราอาจมีโอกาสรอดมากขึ้นโดยทำสิ่งเหล่านี้ทุกครั้งที่มีการซื้อขายรูป:
อย่า ลืมว่าแม้แต่เว็บแจกรูปฟรี ที่บอกว่ารูปพวกนี้เป็น Public Domain เอาไปใช้ยังไงก็ได้ ก็ยังมีโอกาสที่เค้าจะไปเอารูปจากเว็บขายรูปมาลง ซึ่งทำให้เราโดนฟ้องได้ เพราะฉะนั้นเวลาเจอรูปสวย ๆ ที่ฟรี หรือราคาถูกมาก ๆ ให้ระวังตัวกันไว้ให้ดีครับ
ระวัง การใช้รูปถ่ายที่แถมมากับ Template เว็บไซต์ไว้ให้ดีครับ เพราะถึงคุณจะจ่ายเงินซื้อ Template มาใช้ สิ่งที่คุณซื้อคือ Code กับ Layout ของเว็บไซต์ ไม่ได้ซื้อรูป ลิขสิทธิ์ของรูปพวกนี้จะไม่ได้ให้กับคุณ หรือเว็บไซต์ใหม่ที่คุณจะสร้าง โดยส่วนใหญ่ลิขสิทธิ์รูปจะให้กับ “คนที่สร้าง Template” คนเดียวเท่านั้น และถูกใช้เพื่อสาธิตการวางเนื้อหาลงใน Template เท่านั้น
อ่านมาถึงตรงนี้คุณอาจจะรู้สึกว่าการนำรูปถ่ายมาใช้ในเว็บไซต์นี่ยากเหลือเกิน ผมก็ขอสรุปเทคนิคการนำภาพมาใช้แบบสั้น ๆ ครับ: พยายามถ่ายรูปเอง หรือให้คนรู้จักถ่าย แต่ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ ก็ให้เช็คดี ๆ ว่าภาพจากที่ใด ๆ ที่นำมาใช้มีลิขสิทธิ์เป็นลายลักษณ์อักษร แม้แต่ Google Image ที่เดี๋ยวนี้ค้นหารูปแบบ Creative Commons ได้แล้ว ทางกูเกิ้ลเองก็ยังบอกว่า “เราไม่ได้การันตีว่ารูปเหล่านี้จะเป็น Public Domain จริง ๆ หรือเป็นลิขสิทธิ์อื่น”
Ref: http://www.designil.com/image-photo-license-101.html