2024-12-27

เคล็ดไม่ลับในการสอบ Ielts ให้ได้คะแนนสูงกับทริคง่ายๆ




 

มาทำการรู้จักเคล็ดไม่ลับให้ได้คะแนนสอบ Ielts ระดับ 7 ขึ้นไปกันดีกว่าคะ สำหรับนักเรียนที่ต้องการศึกษาต่อมหาวิทยาลัย หรือเลือกเรียนหลักสูตรวิชาชีพ รวมถึงผู้ต้องการยื่น PR  หลังจบการศึกษา หรือยื่นเรื่องวีซ่าทำงาน ล้วนต้องมีผลคะแนนสอบ Ielts ทั้งนี้คะแนนจะขึ้นอยู่กับวีซ่าที่เรากำลังยื่นเรื่อง ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปและประเภทของการสอบด้วยคะ วันนี้ขอนำเสนอเทคนิคการสอบให้ได้คะแนนสูงจากประสบการณ์จริงที่ผ่านการสอบแบบ Academic ของคุณมุตตา มาฝากกันคะ

IELTS (แบบ Academic Module) เป็นการสอบวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย 4 ทักษะเช่นเดียวกับ TOEFL เรียงตามลำดับการสอบ คือ Listening, Reading, Writing, และ Speaking

ลักษณะคะแนน เริ่มจาก 0.0 – 9.0 มีคะแนนครึ่ง band คือ .5 ได้

Listening

ระยะเวลาสอบ 30 นาที มีทั้งการฟังแบบในชีวิตประจำวัน (2 เรื่อง) และเชิงวิชาการ (อีก 2 เรื่อง) โดยข้อสอบเริ่มจากง่ายไปยาก เช่น บทสนทนาแรก

เป็นการพูดโทรศัพท์ บทสนทนาที่สองเป็นการสั่งอาหาร ไปจนถึงท้ายๆ เป็นการบรรยายสั้นๆ ในห้องเรียน หรือการปรึกษางานกลุ่มระหว่างนักเรียน

คำถาม มีได้ตั้งแต่ ถามเบอร์โทรศัพท์ เลขที่บ้าน ชื่อถนน เมนูอาหารโดยเป็นการฟังไปด้วยตอบไปด้วย ไม่ใช่ฟังทั้งหมดแล้วมาตอบแบบ TOEFL

คำตอบ เป็นแบบเขียนตอบทั้งหมด อาจจะมีเติมคำในรูปภาพหรือตาราง เติมคำในประโยค เรียงลำดับ หรือแบบปรนัยด้วย

ข้อสอบ (ถ้าจำไม่ผิด) มี 40 ข้อ คะแนนเต็ม 9.0

Tips สำหรับ Listening

1. ฝึกทำข้อสอบโดยการจับเวลา

2. เวลาเขียนตอบ ใช้อักษรตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด เนื่องจากคำบางคำ เช่น Lakeview Street อาจจะเขียนว่า Lake View Street ได้ด้วย ซึ่งเราไม่มีวันรู้ว่า

เขียนแบบไหนคือคำตอบที่ถูกต้อง ดังนั้น เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะทำให้เราไม่ได้คะแนนทั้งๆ ที่รู้ว่าคำตอบคืออะไร ดังนั้น เขียนตัวใหญ่ให้หมดค่ะ

3. เขียนคำตอบลงในกระดาษคำถามก่อน หลังจากฟังจบ จะมีเวลาให้กรอกคำตอบลงในกระดาษคำตอบค่ะ

เราใช้วิธีนี้ คะแนนอยู่ที่ 8.0 ค่ะ

Reading

ระยะเวลาสอบ 60 นาที เป็นข้อสอบที่มีทั้งบทความที่เป็นข่าวและบทความเชิงวิชาการ จำได้ว่าตอนสอบมีทั้งข่าวสนุกๆ และบทความเรื่อง Solar Cell รวมทั้งหมด 3 – 4 เรื่อง/บทความ

ข้อสอบทั้งหมด 40 ข้อ ลักษณะคำถามคำตอบ เป็นแบบเขียนตอบ เช่น เติมคำ ในประโยค Matching True/False/Not Given เรียงลำดับ หรือแบบปรนัยด้วย

ซึ่งแบบที่ออกมาแน่ๆ คือ True/False/Not Given ส่วนนี้ควรฝึกอ่านและแปลความให้คล่องนะคะ

Tips สำหรับ Reading

1. ฝึกทำข้อสอบโดยการจับเวลา

2. เวลาทำข้อสอบ ให้อ่านบทความแบบ Skim/Scan ก่อนหนึ่งรอบ เพื่อดูคร่าวๆ

 ว่าเนื้อหาสาระมีอะไรบ้าง แล้วไปอ่านคำถาม จะได้กลับมาหาคำตอบได้ถูกจุด

 เพราะคำถามของ IELTS จะไม่เรียงกันตามเนื้อหาอย่าง TOEFL ค่ะ

3. ข้อไหนทำไม่ได้ ข้ามไปก่อน กลับมาเก็บตกทีหลัง อย่าจมอยู่กับข้อใดข้อหนึ่ง

นานเกินไป ไม่งั้นจะทำข้อสอบไม่ทัน

คะแนนเราในส่วนนี้อยู่ที่ 7.5 ค่ะ

Writing

มี 2 ข้อ ให้เวลารวมกัน 60 นาที

Task 1 จะเป็นการเขียน response กับข้อมูลที่โจทย์ให้มา ซึ่งจะเป็น Diagram พวกกราฟแท่ง กราฟเส้น หรือวงกลม (pie chart) ต้องเขียนตอบไม่น้อยกว่า 150 คำ ซึ่งส่วนนี้เราแนะนำว่าไม่ควรใช้เวลาเกิน 20 นาที

Task 2 เป็นการเขียน response ในหัวข้อทั่วไป ซึ่งเปิดกว้างให้เราแสดงความคิดเห็น ของตัวเอง อาจจะเป็นการเสนอวิธีการแก้ปัญหา การเปรียบเทียบทางเลือก หรือ การโต้แย้งในประเด็นต่างๆ ต้องเขียนตอบไม่น้อยกว่า 250 คำ จึงไม่ควรใช้เวลามากกว่า 40 นาที

Tips สำหรับ Writing
1. ใช้ tense ธรรมดาสามัญ เช่นเดียวกัน Writing ของ TOEFL (Present Simpletense, Past Simple tense และ Present Perfect tense) รวมทั้งศึกษาและฝึกฝนการใช้ transition words, compare and contrast words ให้คล่องนะคะ

2. ต้องบริหารจัดการเวลาได้เป็นอย่างดี ไม่ควรอ้อยอิ่งอยู่กับ Task แรกนานเกินกว่า 20 นาทีไม่เช่นนั้นจะทำ Task 2 ไม่ทัน เราขอแนะนำให้ทำ Task 2 ก่อน โดยใช้เวลา 5 นาทีแรก เขียนไอเดียที่มีคร่าวๆ และ 30 นาทีในการเขียน response เหลืออีก 5 นาทีสุดท้ายไว้ตรวจคำผิด เนื่องจาก Task 2 มีคะแนนมากกว่า Task 1 ถ้าเขียนตัวนี้ให้เสร็จสมบูรณ์จะโดนหักคะแนนน้อยกว่า

3. เขียนตอบแบบบรรทัดเว้นบรรทัด เวลาเขียนผิดไม่ต้องลบ (เสียเวลามากแถมคนข้างๆ จะโกรธด้วยเพราะเวลาลบ โต๊ะมันสั่น) ขีดฆ่าแล้วแก้ไว้ด้านบนแทนจะทำให้ข้อสอบดูโปร่ง อ่านง่าย

4. สำหรับคนเก่งขั้นเทพ เขียนเกินกว่า Word Limit ได้ค่ะ แต่ไม่ควรเกินมามาก เช่น กำหนด 150 คำ ไม่ควรเขียนเกิน 170 คำ อันนี้คนที่เป็น grader บอกเราเองว่า เยอะมากขี้เกียจอ่าน จะหักคะแนนเอาด้วย

5. วิธีนับจำนวนคำแบบคร่าวๆ ถ้าไม่เหลือเวลาแล้ว นับบรรทัดค่ะ ปกติเราจะเขียนหนังสือบรรทัดละประมาณ 10 – 15 คำ แล้วแต่ความสั้นยาวของคำ Task 1 จึงควรมีความยาว 15 – 17 บรรทัด และ Task 2 ควรยาว 25 – 28 บรรทัด

คะแนนเราในส่วนนี้อยู่ที่ 6.0 ค่ะ เป็นส่วนเราว่ายากที่สุดสำหรับ IELTS จบสอบ 3 ส่วนนี้ก็พักเที่ยงพอดีค่ะ ตอนเราสอบ สอบที่ปทุมวัน ปริ้นเซส เลยไปกินข้าวและเดินเล่นที่มาบุญครอง รอเวลาสอบ Speaking ซึ่งทางผู้จัดสอบจะจัดตารางเวลามาให้เรียบร้อย ว่าใครอยู่ที่ลำดับเท่าไหร่ สอบประมาณกี่โมง

Speaking

มี 3 ส่วนใหญ่ๆ 
ส่วนที่ 1 เป็นส่วนที่ง่ายสุด Examiner จะคุยกับเราแบบสบายๆ หน่อย เช่นถามว่าไปกินอะไรมา ชอบทำงานอดิเรกอะไร และจะมี key question ที่นำไปสู่การสอบส่วนที่สอง ตอนเราสอบ  ถามว่าชอบไปเที่ยวมั้ย ชอบภูเขา หรือทะเล ส่วนนี้กินเวลาประมาณ 5 นาที

ส่วนที่ 2 ยากขึ้นหน่อย เป็นการ์ดคำถาม ซึ่งต่อเนื่องจากคำถามท้ายๆ ของส่วนแรก คือ ให้บรรยายการไปเที่ยวที่ประทับใจ ไปกับใคร เมื่อไหร่ ให้เวลาคิด 1 นาที และเวลาตอบประมาณ 2 นาที

ส่วนที่ 3 ยากสุด เป็นการถกกันระหว่าง Examiner กับ ผู้เข้าสอบ เรื่องปัญหาการรักษาพื้นที่สงวน ไม่ให้ปลูกสร้างสิ่งก่อสร้าง เพราะมันจะไปทำลายธรรมชาติอะไรแบบนั้น ใช้เวลาประมาณ 5 นาที

Tips สำหรับ Speaking

1. ฝึกพูดให้มากๆ โดยเฉพาะส่วนที่ 2 และ 3 ซึ่งมีคะแนนเยอะ เวลาฝึก ก็อัดเสียงไว้กลับมาเปิดฟังเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องค่ะ

2. ทำใจให้สบาย อย่าเครียด เวลาพูดตอบ ไม่ต้องรีบร้อน พูดช้าๆ ชัดๆ ค่ะไม่ต้องไปสนใจเจ้าเครื่องบันทึกเสียงบนโต๊ะนะคะ เขาอัดไว้ตามขั้นตอน

การสอบเท่านั้นเอง

3. สังเกตท่าทีของ Examiner ไว้ด้วย ถ้าดูเป็นคน Friendly ก็จัดเต็ม ตอบไปแบบร่าเริงๆ ได้ แต่ถ้าดูซีเรียส ก็ตอบด้วยน้ำเสียงเป็นทางการนะคะ

4. ถ้าได้สอบเป็นลำดับท้ายๆ จะไปเดินเล่นแก้เซ็งก็ได้ แต่ต้องเปิดโทรศัพท์มือถือและเอาไว้ใกล้ตลอดเวลา ถ้าเจ้าหน้าที่โทรมาตามแล้วไม่เจอ จะข้ามคิวไปเลยดังนั้น ไม่ควรไปไหนไกลจากที่สอบมากนะคะ

คะแนนส่วนนี้ เราได้ 7.5 

 

ที่มา: Hotcourses Thailand ผู้เขียนคุณมุตตา 

 

Natui Website 2015-03-13 17:07:20 17261