ตัวเลขของนักเรียนต่างชาติที่มาศึกษาต่อที่ประเทศออสเตรเลียได้เพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างมากในรอบห้าปีที่ผ่านมา ข้อมูลจากศูนย์ศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของมหาวิทยาลัยซิดนีย์ระบุว่าจำนวนนักเรียนไทยที่มาเรียนในออสเตรเลียมากเป็นอันดับหก รองจากนักศึกษาจากจีน, อินเดีย, เกาหลีใต้, เวียดนาม และ มาเลเซีย (ข้อมูลล่าสุดจากปี 2013) ซึ่งมีจำนวนรวมมากกว่า 20,000คน โอกาสของนักเรียนไทยที่สามารถมาเรียนในต่างประเทศได้นั้น ส่วนใหญ่มาจากการสนับสนุนของผู้ปกครองที่ได้ส่งมาเรียน กับอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำงานหาเงินส่งตัวเองมาเรียนหรือเป็นนักเรียนทุนของรัฐบาลหรือบริษัทที่ส่งมาเรียนก่อนกลับไปใช้ทุนภายหลังเรียนจบ
ผู้เขียนอยากจะเล่าให้ฟังถึงกรณีคดีความที่เกิดขึ้นระหว่างนักศึกษาต่างชาติที่มาศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยดังแห่งหนึ่งที่ออสเตรเลียเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้นักเรียนไทยได้ตระหนักถึงความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เกี่ยวกับกฏหมายในออสเตรเลียอีกทั้งความด้อยประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตในต่างแดนซึ่งห่างไกลจากครอบครัวหรือผู้ปกครอง ซึ่งบางคนอาจจะเป็นครั้งแรกที่มาใช้ชีวิตโดยลำพังในต่างประเทศ
เรื่องมีอยู่ว่านายเอ (นามสมมุติ) ได้มาเรียนต่อในประเทศออสเตรเลียหลังจากที่เรียนจบปริญญาตรีจากประเทศบ้านเกิด นายเอไม่เคยใช้ชีวิตในต่างประเทศมาก่อน และตัดสินใจมาเรียนที่ออสเตรเลียเพื่อความก้าวหน้าในชีวิตการงานในอนาคต นายเอได้มารู้จักกับนางสาวบี (นามสมมุติ) ทาง WeChat หลังจากได้คุยกันมาซักระยะนึงก็รู้ว่าทั้งคู่ได้เข้ามาศึกษาที่มหาลัยเดียวกันในออสเตรเลย ทั้งคู่เลยนัดเจอกันและได้พัฒนาความสัมพันธ์เป็นแฟนกันหลังจากได้คุยกันมาระยะหนึ่ง
นายเอได้ตัดสินใจบอกเลิกกับนางสาวบีตอนช่วงที่มหาลัยปิดภาคเรียนซึ่งขณะนั้นนางสาวบีได้เดินทางกลับไปเจอครอบครับที่บ้านเกิดตนเอง พอเดินทางกลับมาที่ออสเตรเลียนายเอได้ขอกลับไปเป็นแฟนกับนาวสาวบี ทั้งสองได้บอกเลิกและสุดท้ายกลับมาคืนดีกันอีกสามถึงสี่ครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่งนางสาวบีได้บอกนายเอว่าคงไม่กลับไปคืนดีอีกแล้ว
นายเอได้ขอนัดเจอกับนางสาวบีเพื่อปรับความเข้าใจ แต่นางสาวบีก็ไม่ยอมออกมาเจอ จนกระทั่งนายเอได้ตัดสินใจไปหานางสาวบีที่หอพักของมหาลัย พอนายเอเจอนางสาวบีจะเดินออกจากหอพัก นายเอได้ขวางทาง ไว้เพื่ออยากจะปรับความเข้าใจกัน แต่นางสาวบีไม่อยากคุยด้วย นายเอจึงดึงมือของนางสาวบีไว้ไม่ไห้ออกจากหอพัก ทั้งสองจึงมีปากเสียงกัน จนกระทั่งนายซี (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นเพื่อนของนางสาวบีได้เข้ามาช่วยไว้ แต่โดนนายเอขู่ว่าถ้ามาช่วยจะทำร้ายครอบครับนายซี และครอบครัว นายซีตัดสินใจโทรแจ้งตำรวจ
นายเอถูกตำรวจจับไปสอบสวนและได้รับข้อกล่าวหา 3 ข้อได้แก่ ติดตามและตั้งใจทำร้ายร่างกายนางสาวบี, กักขังหน่วงเหนี่ยวนางสาวบี, ขู่ทำร้ายก่อให้เกิดความกลัวต่อนายซี นายเอได้เข้าปรึกษากับสำนักทนายความ หลังจากทนายความได้เรียบเรียงข้อมูลเพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาล ผู้พิพากษาตัดสินยกฟ้องทั้งสามคดีแต่ได้ออกหนังสือแก่นายเอที่ต้องปฏิบัติตามมิฉะนั้นจะโดนจำคุกซึ่งนายเอต้องประพฤติตัวเป็นคนดีตลอดระยะเวลาที่วีซ่าเหลืออยู่และจะต้องเข้ารับการบำบัดการควบคุมอารมณ์กับแพทย์ทุกสัปดาห์ ซึ่งเห็นได้ว่านายเอโชคดีมากที่ไม่โดนจำคุก อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังอยู่ในขั้นสอบสวนจากมหาวิทยาลัยว่าจะโดนไล่ออกโทษฐานทำผิดระเบียบของมหาลัยหรือไม่
เหตุการณ์นี้สอนให้รู้ว่าจากเรื่องราวที่เราคิดว่าเป็นเรื่องทะเลาะกันของหนุ่มสาวเพียงธรรมดา อาจจะนำมาสู่การจับกุมได้ถ้าเราไม่รู้กฏหมายของประเทศออสเตรเลีย ผู้เขียนตั้งใจจะอธิบายเกี่ยวกับกฏหมายการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล อย่างง่ายๆ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ และเผื่อจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต
ปัจจัยของการทำร้่ายร่างกาย
สาเหตุที่นายเอถูกตั้งข้อหาการทำร้ายร่างกาย เนื่องจากนายเอตั้งใจที่จะฉุดกระชากดึงมือของนางสาวบี ทำให้นางสาวบีได้รับบาดเจ็บ นางสาวบีสามารถที่จะฟ้องร้องกับทางตำรวจในข้อหาทำร้้ายร่างกายได้ ดังนั้นเราควรจะระวังไว้เสมอว่าแค่การฉุดกระชากดึงมือทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บอาจทำให้เราถูกตั้งข้อหาได้
ปัจจัยของการกักขังหน่วงเหนี่ยว
นายเอถูกตั้งข้อกล่าวหากักขังหน่วงเหนี่ยว เนื่องจากนายเอได้ขวางนางสาวบีไว้เพื่อปรับความเข้าใจ ทำให้นางสาวบีไม่สามารถหลบหนีจากนายเอได้ เพราะไม่มีทางออกทางอื่น การกักขังหน่วงเหนี่ยวของที่นี่ไม่จำเป็นจะต้องกักขังล็อคห้องเหมือนที่เราเข้าใจกัน การแค่ตั้งใจที่จะทำให้ผู้อื่นไม่สามารถหลบหนีไปจากเราได้ เราอาจจะได้รับความผิดในการกักขังหน่วงเหนี่ยว
ปัจจัยของการขู่ทำร้่ายทำให้เกิดความกลัว
นายเอถูกตั้งข้อกล่าวหาขู่ทำร้ายให้เกิดความกลัว เนื่องจากนายเอตั้งใจที่จะขู่นายซีให้เกิดความกลัวถ้าเกิดนายซีให้ความช่วยเหลือนางสาวบีหรือเข้ามายุ่งกับการทะเลาะกันของสองฝ่าย
อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้วผู้พิพากษาจะเป็นผู้พิจารณาพยานหลักฐานที่จะสามารถสนับสนุนต่อข้อกล่าวหา ดังนั้นพยานหลักฐานเป็นสิ่งสำคัญมากในคดีอาญา โชคดีที่นายเอปรึกษาทนายความเพราะความไม่รู้ทางด้านกฏหมายในประเทศออสเตรเลีย ทางสำนักงานทนายความได้ต่อสู้คดีโดยใช้พยานหลักฐานที่ได้ยื่นต่อผู้พิพากษาทำให้นายเอถูกยกฟ้องจากข้อกล่าวหาได้
นักเรียนไทยที่มาเรียนที่นี่ต้องตระหนักถึงสิทธิส่วนบุคคลไว้ให้มาก นอกจากจะถูกตั้งข้อกล่าวหาจากทางตำรวจแล้วอาจยังจะได้รับการถูกปฎิเสธวีซ่านักเรียนถ้าเกิดทางโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยไล่ออก หรือถ้าถูกตั้งข้อหาร้ายแรง วีซ่าอาจถูกปฏิเสธได้โดยอัตโนมัติ ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริง ก็จะต้องตั้งสติและคิดถึงพยานหลักฐาน และขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฏหมายอย่างเร็วที่สุดเพื่อไม่ให้คดีบานปลาย อย่างไรก็ตามอยากให้นักเรียนไทยคิดเสมอว่าเรามาที่นี่เพื่อมาเรียนหนังสือ พยายามอย่ามีเรื่องมีราวกับใคร การรู้กฏมายเบื้องต้นไว้ก็เป็นการป้องกันตัวที่ดีทางหนึ่ง
ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้อาจเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย ถ้ามีปัญหาข้อข้องใจทางด้านกฏหมาย เบื้องต้นให้หาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเพื่อความรู้เบื้องต้น แต่ถ้าเรื่องราวยุ่งยากซับซ้อน หรือไม่เข้าใจในเรื่องกฏหมาย ให้ปรึกษาผู้รู้เพื่อหาทางแก้ไขให้ทันท่วงทีเพื่อจะรักษาสิทธิของเราและผู้อื่น
Source: คุณศุภชัย (ก่อ) โอส่าห์กิจ จาก International Lawyers Co-operative
References:
- Thailand in Australia ศูนย์การศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยซิดนีย์
- Connecting with Tort Law เขียนโดย จูเลีย เดวิส