"ประเทศไทยไม่ได้ ขี่ช้างจับตั๊กแตนกันอยู่นะเว้ย!! " จากปากคำของ 2 ศิลปินไทย กับงาน Stensil art prize 2017
เล่าให้ฟังหน่อยว่าทั้ง 2 คนนี้ได้มาร่วมงานนี้ Stencil Art 2017 ได้ยังไงคะ?
Headache : ผมเคยส่งผลงานของผมมาแล้วเมื่อ 4 ปีก่อน แล้วพอมาในปีนี้เจอว่ามีงาน stencil ซึ่งเป็นวิธีการทำงานศิลปะอีกรูปแบบหนึ่ง พอดีว่าเราถนัดแนวนี้ ก็เลยส่งเข้ามาอีกครั้งแล้วก็ได้ผ่านเข้ารอบ final list คนที่ได้เข้ารอบจะได้มาแสดงงานในครั้งนี้ ส่วน Muebon ก็ลงผลงานเข้ามาเหมือนกันแล้วก็ผ่านเข้ารอบกันมา 2 คน
Muebon : ผมว่าโชว์มันน่าสนใจตรงที่ว่า โชว์นี้เป็นโชว์เดียวในโลกที่ทำ stencil art อย่างจริงจังทางสายนี้ ส่วนที่ออสเตรเลียก็เป็นงานที่ค่อนข้างใหญ่ที่สุดในโลกงาน Stencil art prize จัดงานได้ 10 กว่าปีแล้ว พอเสิร์ซกูเกิ้ลจะขึ้นงานนี้มาก่อน ก็เลยคิดว่ามันน่าสนใจ วิธีการ Stencil มันก็คือหนึ่งในวิธีการทำงานของสายกราฟิคนี้หรือ Street art ซึ่ง Headache ก็เป็นคนที่ทำงานด้านนี้โดยตรง เค้าก็ถนัดทางด้านนี้ พอได้รู้จักกันก็เลย ชวนกันมาส่งผลงานเข้ามา คือตัวรางวัล พวกผมไม่ได้สนใจมากอะไร แต่มันเหมือนกับเราได้มาเป็นตัวแทนของประเทศไทยที่มาแสดงศักยภาพ ว่าประเทศไทยไม่ได้ ขี่ช้างจับตั๊กแตนกันอยู่นะเว้ย! ประเทศเราก็มีคนที่ทำงาน stencil art และก็ civilisation เหมือนกับทั่วโลกนึกออกมั้ย? ประเทศเรามีงานศิลปะ ประเทศเรามีอะไรที่เจ๋งกว่าอะไรแบบนี้ คือสิ่งที่พวกผมพยายามจะทำงานนอกประเทศก็คือสิ่งนี้แหละ นี่ก็เป็นจุดนึง อย่างน้อยก็ปักชื่อคนไทยในโชว์ที่สำคัญของโลกนี้ได้โชว์นึง ผมว่ามันก็โอเค รางวัลมันไม่เท่าไหร่ เพราะจริงๆ โชว์นี้เค้าทำมาสำหรับ แลกเปลี่ยนกัน เหมือนกับคือคนที่ท Street Art สาย stencil เหมือนกับการสนับสนุนได้มีศิลปินทางนี้ ได้ทำงานนี้อย่างจริงจัง มากขึ้นอะไรแบบนี้ ผมว่ามันก็ดีนะ Headache : ก็คนที่มาก็ไม่ได้เป็นจิตรกรหรือศิลปินแบบทางนั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบสตรีทอาท ที่ทำ stencil มา ถ้าให้นึกภาพง่ายๆก็คือ Banksy ทำ stencil มันจะมี process มากกว่า เพราะฉะนั้นคนที่มาก็ศิลปินที่ทำงาน public อยู่แล้ว ปีนี้ก็มีคนดังมาหลายคน มาจากอังกฤษก็มี
แล้วอยากรู้ว่ามีศิลปินในใจของแต่ละคนมั้ยที่ชอบงานคนนี้เป็นพิเศษบ้างมั้ย?
Headache : ผนโดนถามคำถามแบบนี้บ่อยมาก ก็เอาจริงๆผมไม่ได้ประทับใจใคร ผมทำแค่นี้เป็นแค่นี้จริงๆ คือเรียนมาอย่างอื่นไม่รู้ว่าเพราะอาจจะไปโดดเรียนตอนเรียนรึปะล่ามันกลายเป็นสิ่งที่ผมกลับทำมันได้ดีในความคิดผม แล้วผมก็ทำมันอยู่แค่นี้ แล้วก็ไม่คิดจะทำอย่างอื่น ก็เลยไม่ได้มีไอดอลเลยด้วยซ้ำ เพราะมันเหมือนกับเป็นเทคนิคของแต่ละคน คือพอทำอย่างนี้ หรือพออย่างผมทำหรือ Muebon ทำก็แต่ละคนจะมีวิธีการไม่เหมือนกัน น่ะครับ
Muebon : เหมือนคนชอบเขียนปากกากับดินสออะไรอย่างนั้นเลยครับ ก็แค่เปลี่ยนวิธีการจากปากกา ดินสอ เป็นอะไรอย่างอื่น
Headache : คือรูปผู้หญิงคนเดียวกันให้ทำออกมา ยังไงมันก็ไม่เหมือนกัน พอคราวนี้มันก็เลยกลายเป็นว่า จะถามว่าเรามีไอดอลมั้ยมันก็เลย ผมไม่มีนะ ผมดูพวกเค้าหมดเลย ดูแล้วพอเวลามางานแบบนี้สิ่งที่ผมได้ทุกครั้งเลย โหแม่งคนชนะเลิศ ทำยังไงยังไงวะ ผมไปยืนดูจ่อ ใกล้ๆเลยว่า มันตัดยังไงทำยังไง มันแยกแบบนี้ยังไง คือทุกครั้งที่เรามาเราได้อะไรกลับไปทุกครั้ง เลยครับ
อยากทราบถึงผลงานและ concept ของผลงานที่ได้เข้ารอบ Final list ได้แรงบันดาลใจจากอะไรบ้างคะ?
Headache : อย่างของผมทำเป็นรูปแฮมเบอร์เกอร์ คือผมมองว่า แฮมเบอร์เกอร์ ก็มันเป็นอาหารที่ทุกคนกินและทุกคนเข้าถึงรสชาติเดียวกัน ทุกคนกินแล้วมีอารมณ์เดียวกัน ไม่มีแตกต่างของความรู้สึก หลังจากที่กินเข้าไป ไม่ว่าจะคนจน คนรวย พอกินแฮมเบอร์เกอร์ทุกคน จะได้ความรู้สึกเดียวกันผมก็เลยมองว่า มันคือ symbol ของ standard อันนั้นคืองานของผมครับ ผมเลยตั้งชื่อว่าThe Standard
Muebon : ส่วนของผมเป็นทีวีแมนก็เป็นเหมือน เป็นภาพ portrait ของทุนนิยม อะไรแบบนี้ ที่เหลือก็ให้คิดเอาเอง มันง่ายอยู่แล้ว คนดูก็รันตามจินตนาการไปเอง วิธีการ stencil มันให้ภาพที่ชัด แต่ว่าเนื้อหาหรือ concept ของศิลปินมันจะซ่อนความหมายไว้ อยู่แล้ว ความจริงไม่ต้องดูก็เข้าใจตามได้ ผมว่าความสนุกของมันก็คือ เวลามองแล้วมันจะคิดยังไง มันอาจจะคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มันไม่จำเป็นต้องเขียนอธิบายอะไร แค่ชื่อภาพมันคือ The standard
Headache : นั่นเป็นคุณสมบัติพิเศษของศิลปะ
คิดยังไงบ้างกับการที่ศิลปินรุ่นใหม่ๆ หรือวัยรุ่นไทยควรออกมาแสดงงานในต่างประเทศ ได้ออกมาจากที่เดิมๆไม่เพียงแค่อยู่แต่ในประเทศเราเท่านั้นHeadache : ถ้าในมุมผม ผมมองว่า จริงๆคนไทยโตมากับศิลปและวัฒนธรรมแล้วทุกคนมีศิลปะอยู่ในตัว โดยที่ไม่รู้ตัวนะครับ จนบางครั้งเรารู้สึกมันเป็นของธรรมดามาก ทั้งๆที่พอความจริงเอาสิ่งที่เราทำ หรือสิ่งที่เราเป็น หรือสิ่งที่เรามี พอเอาออกไปให้โลกเห็น คือฝรั่งหรือทุกครั้งที่ต่างชาติเห็น งานคนไทยเค้าถึงแบบ ไม่อย่างนั้นเค้าจะถ่อมาถ่ายรูปกับวัดกันทำไม คนไทยกลับมามันเป็นเรื่องธรรมดาจนบางที ไม่รู้ว่ามันเจ๋งมากสำหรับโลกนะ ผมว่าบางทีถ้าใครมีอะไรดีๆ ควรจะเอาออกไปให้คนอื่นเค้าดูบ้างไม่ใช่บางทีก็เก็บแล้วก็มีความสุขอยู่แค่นั้น ควรเอาออกมาให้ชาวโลกเค้าดูกันบ้างครับ
Muebon : ผมมองสำหรับเด็กไทย คือการที่ได้ ออกมาข้างนอก มันเป็นการได้ออกมาอีกโลกนึงเลยนะ คือการทำงานวิธีการ การมีชีวิต กฎระเบียบ มันไม่เหมือนเมืองไทยเลย ไม่เหมือนเลยสักนิด ซึ่งคุณจะได้เรียนรู้ ว่าศิลปินต่างประเทศเค้ามีชีวิตอยู่ยังไงอย่างมืออาชีพอ่ะ เค้าไม่ได้ลำบากน้อยกว่าที่ประเทศเราอยู่หรอกการเป็นศิลปินในต่างประเทศน่ะ แต่สิ่งหนึ่งที่มันควรจะมีก็คือ เราต้องตั้งใจมุ่งมั่น ทำมันอย่างจริงจัง พอเราทำอย่างจริงจัง ที่ผมมาได้วันนี้ ก็เพราะงานมันพามานะ ถ้าเราโฟกัสงาน ตั้งใจทำงานให้มันดี แล้วตั้งเป้าหมาย งานเรามันต้องไม่ใช่แค่คนดูภายในประเทศ ต้องให้คนดูทั่วไปทั่วโลกก็ว่ากันไป แล้วก็ออกไปเผยแพร่ ด้วยพื้นฐานของเราอะไร ด้วยอะไรหลายๆอย่าง ทั้งศิลปวัฒนธรรม ปัญหาสังคม อะไรก็แล้วแต่ที่มันเป็น inspiration สำหรับศิลปินในการทำงาน มันมี passionให้กับศิลปินในการทำงานค่อนข้างเยอะ ผมว่ามันค่อนข้างเยอะ มันทำให้เค้าแปลให้มันเป็นภาษาศิลปะและมันน่าสนใจ ผมว่าโลกยังไม่ได้เห็น ผมว่าโลกควรได้เห็นมัน
เคยได้เจอน้องๆรุ่นใหม่ๆและได้ให้คำแนะนำอะไรบ้างมั้ย?
Headache : คือยุคเนี้ยมันเป็นยุคแบบglobal ยุคแบบinternet อ่ะ ทุกคนสามารถรันงานของตัวเองได้ ถ้างานคุณเจ๋งแล้วคุณแบบไม่ปิดตัวเองอยู่แต่ในบ้าน คุณก็แค่รันงานในโลกที่มันมีอยู่ในอีกโลกเตี้ยมันฟูมากมันมีพลังมาก คุณสามารถแสดงออกมา
มันไม่มีใครมองว่า เจ๋งได้ถ้าเราไม่เอาออกมาให้คนอื่นดู เช่นผมใช้ instragram เพราะผมขี้เกียจตอบ FB
Muebon : ผมเริ่มใช้ social media ตั้งแต่จบศิลปะ มันเกิดจากว่า ประเทศไทยอ่ะ มันปัญหาที่เป็นศิลปินไม่ได้ เพราะว่าอะไร? ก็เพราะมันใช้หากินไม่ได้ เพราะว่าอะไรเหตุผลมันก็คือ มันไม่มีคนซื้อ ก็เพราะว่าไม่มีคนเสพ ก็เพราะว่าคนเสพไม่สนใจ ทำไม่คนเสพไม่สนใจ ก็เพราะศิลปินแม่งทำตัวเหมือนอยู่บนหอคอย มันเข้าถึงกันยาก ในประเทศเรา อย่างเช่น ป้าขายกล้วยแขกหรือคนขายก๋วยเตี๋ยวจะแบบ วันหยุดเสาร์อาทิตย์จะไปแกลลอรี่เหรอ? ไม่มีทาง ถามว่าเนี่ย อย่างออสเตรเลีย เดินๆอยู่ มีแกลลอรี่ตลอดทาง ถามว่าบ้านเราแบบไม่มีทางอ่ะ เราก็แบบว่าเออ เอางานศิลปะมาไว้ข้างถนนเลยจบ! คุณไม่ต้องไปแกลลอรี่ คุณเดินผ่านคุณก็เห็น แล้วแบบก็จะสร้างค่านิยมในคนในประเทศเรา ให้คนค่อยๆซึมซับ ป้าขายกล้วยแขก เค้าอาจจะเป็นเจ้าของงานศิลปะ เค้าอาจจะเป็นคนอธิบายงานศิลปะ เหมือนกันเจ้าของแกลลอรี่ก็ได้ ทั้งๆมันก็เป็นภาพวาดข้างถนน แต่มันถูกกับบริบทของมันทำให้เป็นเรื่อวเป็นราวมากขึ้น โดยที่เราเป็นคนทำและมีคนที่เป็นเจ้าของสถานที่เป็นคนรับรู้ แล้วก็พอมีคนมาดูก็มีการปฏิสนธิ! มีการคุยกันว่าเฮ้ย งานคนเนี่ยนี้
Headache : ปฏิสนธิ เลยเหรอ?!?
Muebon : เอาเป็นว่ามันก็ได้คุยกันอะไรแบบนี้ เค้าก็ได้ซึมซับศิลปะโดยไม่รู้ตัวหรอก ว่ามันเป็นศิลปะเหรอ นั่นคือเราลดบทบาทใน high art ลงมาให้คนเข้าใจแล้ว พอคนเข้าใจแล้ว แบบว่าพอเค้าเดินทางไปแกลลอรี่มันไม่รู้สึกแปลกแยกแล้วไง เฮ้ย กูเคยดูแบบนี้ที่ข้างบ้านตาง้วนแล้วววว
Headache: มันเป็นเรื่องดีนะ ที่คนจะไม่รู้สึกเคอะเขินกับงานศิลปะ
Muebon : มันเป็นเรื่องจริงนะครับ ผมอยู่ในวงการศิลปะตั้งแต่เด็กๆ
Headache: จะมาถามว่าอยู่ดีๆเดินผ่านแกลลอรี่แล้วเลี้ยวเข้าไปดูดีกว่า ดื้อๆโดนที่แบบ ถ้าสมมุติไม่เคยเห็นงานศิลปะมาก่อน คงคนแบบเหมือน อะไรอ่ะ?? เราก็ไม่กล้า ด้วยนิสัยคนไทยความกล้าน้อยกว่าต่างชาติ อย่างฝรั่งแกลลอรี่เปิดอยู่ก็เดินเข้าไปเลยไม่สนใจ แต่พอเป็นคนไทย พอเห็นมีคนเฝ้าปุ๊ป ก็จะแบบไม่เอาแล้ว มีความเกรงใจ ผมว่าความเกรงใจเป็นเรื่องที่สำคัญ ให้คนไทยไม่ระเบิดในโลกเยอะเหมือนกันนะ มัวแต่เกรงใจจนบางที ไม่กล้าสื่อ ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ บางทีมันอาจจะหลายๆอย่าง อาจจะสังคมด้วย ซึ่งจริงๆ ผมว่ามันน่าจะง่ายขึ้น เพราะตอนนี้โลกมันกว้างขึ้น มันไม่มีขอบเลย ถ้าเราไม่ไปถูกขอบอะไรมาปิดบังไว้ เราว่าคนไทยน่าจะไปได้อีกไกล
Muebon :การศึกษาเราสามารถ เราสามารถศึกษาได้วินาทีกับที่อเมริกาในทันทีวินาทีเดียวกัน ไม่มีว่าเราดีเลยเค้า หรือเหมือนแต่ก่อน ที่เรากว่าจะได้ทำเพลง ดูหนังสือหรือทำงานงานศิลปะ 20-30 ปีให้หลัง ปัจจุบันคุณได้ดูพร้อมกันเลย เกิดศิลปะอะไรขึ้นมาใหม่ๆ บนโลกนี้ คุณได้รู้พร้อมกับคนทั้งโลกเลย จะมาบอกว่าเรามีโอกาสน้อยลง มันไม่ใช่นะครับ จริงๆโอกาศตอนนี้มันเปิดกว้างมากครับ
Headache: อย่างสมมุติคุณสนใจกราฟฟิตี้ แค่ลองดู #graffiti ใน instagram มันขึ้นเป็นพันๆนะ มันไม่ใช่น้อยเลย คนที่เรียนหรือ คนที่ออกมาพ่นกำแพง พ่นอะไรแบบนี้ทั้งโลกหรือแค่ในไทยก็ได้ ที่ผมเห็นทุกวันก็มีเด็กใหม่ๆที่เป็นทางนี้เยอะมาก หรือที่มีเป็นเพจ ทางนี้ ซึ่งมีเด็กวัยรุ่น รุ่นใหม่ๆเพราะมันได้เห็น เพราะใกล้ๆบ้านก็มี ออกมาตรงนี้ก็มี งานนี้มันเจ๋งว่ะ ผมว่าทำให้เด็กไทยกล้าทำมากขึ้นนั่นแหละครับ มันขึ้นกับขอบที่มีว่าจะทำได้แค่ไหน แล้วก็แรงของแต่ละคนที่จะทำได้เท่าไหร่เพราะมันก็มีเงื่อนไขของเงินตามเข้ามาด้วยเหมือนกันนะ เราอยากทำงานดีๆ โดยที่แบบว่า สีนี้แม่งแพงมาก แล้วก็มีแต่ยี่ห้อนี้ด้วยนะที่จะมีสีนี้ แบบว่าแบบมันต้องสู้กันนิดนึงนะครับ
หลังจากจบงานนี้มีโปรเจ็คอะไรกันมั้ยคะ ?
Muebon :: ของผมตอนนี้มีคนติดต่อไปยะลา แต่ยังไม่รู้จะไปรึเปล่า เพราะติดโชว์ที่ญี่ปุ่นเดือนหน้า โชว์เดี่ยว ที่ญี่ปุ่น ก็ขนงานไปแบบที่คิดนี่ล่ะ ค่าส่งแพงๆนี่ล่ะครับ บางทีเงื่อนไขมันทำให้งานศิลปแพงเหมือนกันนะ เพราะค่าขนส่งก็แพง มันทำชิ้นเล็กได้ไง แต่คิดดูสิว่า ถ้าเกิดพื้นที่มันแบบ มันเหมาะกับชิ้นขนาดนี้ เราจะแบบเล็กๆ มันก็ไม่ได้
Headache: ส่วนของผมยังไม่มีอะไรมาก ก่อนหน้านี้ก็จะไปพ่นงานส่วนตัวแบบแอบๆ พอมารู้จักกับเพื่อนใหม่ๆคนอื่นๆที่งานพัทยา ก็เลยชวนๆกันไปพ่น ก่อนหน้านี้ไม่กล้า กลัวโดนตำรวจ จะแอบพ่นเงียบๆ ด้วยเลยได้แลกเปลี่ยนปัญหากัน เค้าจะมีปัญหาในการใช้สีกันด้วย ตอนนี้ก็เลยทำกระเป๋าไว้ใส่สีสเปย์ แล้วเอามาใช้ที่ในงานนี้ด้วย เพราะมาที่นี่ต้องเจอศิลปินเยอะด้วย ว่าจะลองเอามาพรีเซ้นท์ น่าจะเป็นทางของเราด้วย เพราะงานของผมตอนนี้มันเป็นส่วนของกิจกรรมยามว่างมากกว่า เป็นสิ่งที่เรารักและอยากทำ อย่างของ Muebon แบบคืออาชีพ อย่างเค้ามันเป็นทุกอย่างของเค้า เรายังแบบสนุกสนานอยู่ ความสำคัญไม่เท่ากัน แต่เราสนุกกับมันนะ
อาทิตย์นี้เพื่อนๆพี่ๆ คนไหน กำลังหากิจกรรมแวะไปชมงาน Stencil Art Prize 2017 ในปีนี้มีเพื่อนคนไทย ได้เข้าร่วมแสดงงานศิลปะกับศิลปินอื่นๆที่ผ่านเข้ารอบจากทั่วโลก ในนาม Headache และ Mue Bon 2 ผู้เข้ารอบจากประเทศไทย งานเริ่มวันที่ 9-17 กันยายนนี้ ที่ Stirrup Gallery, Addison Road Community Centre, 142 Addison Road Marrickville (Sydney) NSW 2204.