ผ่านไปแล้วสำหรับการเปลี่ยนเวลา หรือ Daylight Saving Time ในปี 2016 นี้ " Daylight Saving Time " มักใช้เรียกกันในโซนอเมริกา และใช้คำว่า "Summer Time" ในโซนยุโรป Daylight Saving Time หรือ Summer Time คือ การปรับเวลาที่ใช้ในท้องถิ่นช่วงฤดูร้อนให้เร็วกว่าเวลาปกติ ซึ่งจะปรับเวลาให้เร็วขึ้น 1 ชั่วโมง ยกเว้นเกาะลอร์ดโฮว์ ประเทศออสเตรเลียที่มีการปรับเวลาให้เร็วขึ้นแค่ ½ ชั่วโมง
การปรับเวลา Saving Time นี้มักจะใช้ในประเทศที่มีอยู่ในละติจูดมากกว่าแนว 23.5 เหนือ/ใต้ (Temperate Zone) แต่ก็ไม่ใช่ทุกประเทศที่อยู่ในแถบนี้จะประกาศใช้เวลา Summer Time ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น จีน ญี่ปุ่น เป็นต้น
เหตุผลที่ต้องใช้ Daylight Saving Time
จุดประสงค์หลักของการใช้ Daylight Saving Time (DST) หรือ Summer Time คือ การประหยัดพลังงานในช่วงค่ำ ปริมาณการใช้ไฟฟ้าจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ เวลาพระอาทิตย์ตกดิน และเวลาการเข้านอนของคนโดยทั่วไป
ช่วงเวลา DST จะมีระยะเวลากลางวันนานกว่าระยะเวลากลางคืน (สว่างเร็วกว่าปกติ และค่ำช้ากว่าปกติ) ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว คนเราจะตื่นเช้าตามพระอาทิตย์ขึ้น แต่จะใช้เวลาในการนอนใกล้เคียงเดิม ดังนั้น ฟ้าสว่างเร็วขึ้น คนก็จะตื่นเช้าขึ้น และเมื่อมีการเลื่อนเวลาให้เร็วขึ้น คนก็จะออกมาทำงานเร็วขึ้น การใช้ชีวิตในช่วงค่ำก็ยังไม่จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้ามากนัก เพราะฟ้ายังสว่างอยู่ และเข้านอนเร็วขึ้น ทำให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าก็จะลดลง
ช่วงเวลา Daylight Saving Time ในแต่ละปี
การเริ่มต้นช่วงเวลาของ Summer Time หรือ Daylight Saving Time แต่ละประเทศจะไม่ตรงกันทั้งหมดครับ ขึ้นอยู่กับกฏหมายของ และข้อตกลงร่วมกันของแต่ละประเทศ สำหรับออสเตรเลียแล้ว ปรับช่วงเวลาจากเดิมที่ห่างจากประเทศไทย 4 ชม. ก็เปลี่ยนเป็น 3 ชม. ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายนเป็นต้นไปและจะเปลี่ยนกลับอีกครั้งในช่วงปลายปี
ปกติในปฏิทินราฟาเอลประจำปี มีการระบุช่วงเวลา Summer time ของประเทศอังกฤษไว้ (British Summer Time) ส่วนข้อมูลของช่วงเวลา Summer Time ของประเทศอื่นๆ เราคงต้องหาข้อมูลกันเอง ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง เช่น http://www.worldtimezone.com/daylight.html
ที่มา : horauranian.com