2024-11-23

ย้อนเหตุการณ์ระเบิดป่วนเมือง สะเทือนทั้งปารีส



ย้อนเหตุการณ์ระเบิดป่วนเมือง สะเทือนทั้งปารีส

 

ย้อนกลับไปวันที่ 25 กรกฎาคม 2538 เวลา 17.05 น. ณ สถานีรถไฟใต้ดิน แซงต์ มิเชล กลางมหานครปารีส ขณะที่ประชาชนจำนวนมากกำลังเร่งรีบเดินทางกลับบ้านในช่วงเย็น จู่ๆ ก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

 

“รถไฟกำลังชะลอความเร็วเพื่อจอดเทียบชานชาลา ทันใดก็เกิดเสียงตู้ม...!!! ดังสนั่นหวั่นไหวก้องไปทั่ว แต่ยังไม่เท่ากับเสียงผู้คนที่กรีดร้องระงมปนกับเสียงครวญครางของผู้ได้รับบาดเจ็บ ทุกอย่างดูสับสนไปหมด” คำบอกเล่าของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในสถานีรถไฟกรุงปารีส ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นของการก่อการร้ายครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส

 

การก่อการร้ายครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก

 

หลังสิ้นเสียงระเบิด มีผู้เสียชีวิตทันที 4 ราย และได้รับบาดเจ็บเกือบร้อยราย โดยในจำนวนนี้ได้เสียชีวิตเพิ่มอีก 3 ราย หลังการระเบิด ผู้เชี่ยวชาญได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ และพบว่าวัตถุระเบิดถูกซุกซ่อนไว้ใต้ที่นั่งบนขบวนรถไฟ การก่อการร้ายในครั้งนี้ดูจะผิดวิสัยทั่วไป เพราะไม่มีการออกมาอ้างว่ากลุ่มใดเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง จนรัฐบาลฝรั่งเศสต้องตั้งเงินรางวัลถึง 1 ล้านฟรังก์ ให้กับผู้ใดก็ตามที่สามารถให้ข้อมูลของมือระเบิดได้ ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียกผู้อยู่ในเหตุการณ์หลายพันคนมาสอบสวน จนสามารถสเกตช์ภาพชายต้องสงสัยไว้ได้ และผู้อยู่ในเหตุการณ์หลายคนบอกตรงกันว่า หลังจากที่มีการระเบิด ได้กลิ่นของดินปืนลอยคละคลุ้งในอากาศ ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถระบุชนิดของระเบิดได้ว่า เป็นระเบิดแสวงเครื่องน้ำหนัก 3 กิโลกรัม จุดชนวนด้วยการตั้งเวลา ใช้นอตและตะปูเป็นสะเก็ดระเบิด

 

วินาศกรรมครั้งร้ายแรงในรอบ 70 ปี

 

หลังสิ้นเสียงระเบิด มีผู้เสียชีวิตทันที 4 ราย และได้รับบาดเจ็บเกือบร้อยราย โดยในจำนวนนี้ได้เสียชีวิตเพิ่มอีก 3 ราย หลังการระเบิด ผู้เชี่ยวชาญได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ และพบว่าวัตถุระเบิดถูกซุกซ่อนไว้ใต้ที่นั่งบนขบวนรถไฟ การก่อการร้ายในครั้งนี้ดูจะผิดวิสัยทั่วไป เพราะไม่มีการออกมาอ้างว่ากลุ่มใดเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง จนรัฐบาลฝรั่งเศสต้องตั้งเงินรางวัลถึง 1 ล้านฟรังก์ ให้กับผู้ใดก็ตามที่สามารถให้ข้อมูลของมือระเบิดได้ ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียกผู้อยู่ในเหตุการณ์หลายพันคนมาสอบสวน จนสามารถสเกตช์ภาพชายต้องสงสัยไว้ได้ และผู้อยู่ในเหตุการณ์หลายคนบอกตรงกันว่า หลังจากที่มีการระเบิด ได้กลิ่นของดินปืนลอยคละคลุ้งในอากาศ ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถระบุชนิดของระเบิดได้ว่า เป็นระเบิดแสวงเครื่องน้ำหนัก 3 กิโลกรัม จุดชนวนด้วยการตั้งเวลา ใช้นอตและตะปูเป็นสะเก็ดระเบิด

 

ประเทศฝรั่งเศสเป็นเป้าหมายของกลุ่มก่อการร้าย

 

แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ มีเพียงผู้ต้องสงสัยชาวตูนิเซียรายเดียวที่ถูกควบคุมตัว ก่อนจะปล่อยตัวออกมาภายหลัง

 

สัญญาณร้ายกำลังมาเยือน

 

รัฐบาลฝรั่งเศสสัมผัสได้ถึงเหตุร้ายที่จะตามมาอีกในไม่ช้า จึงได้สั่งประกาศภาวะฉุกเฉินในทันที มีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเพิ่มความเข้มงวดกวดขันด้านการรักษาความปลอดภัยทั่วประเทศ เพราะหวั่นวิตกว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นสัญญาณเตือนของการก่อวินาศกรรมครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้น แล้วในที่สุดก็เป็นดั่งที่คาดการณ์ไว้ ในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ได้มีเหตุการณ์ระเบิดเขย่าขวัญพลเมืองฝรั่งเศสเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง

 

ควันระเบิดลูกแรกยังไม่ทันจะจาง ก็เกิดเหตุระเบิดขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 17 กันยายน เวลา 17.10 น. บริเวณใกล้กับประตูชัย โดยระเบิดลูกดังกล่าวถูกซ่อนไว้ในถังขยะ แรงระเบิดทำให้มีผู้บาดเจ็บถึง 17 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ลักษณะของระเบิดคล้ายคลึงกับระเบิดที่สถานีรถไฟใต้ดิน เหตุการณ์ยังคงมีความต่อเนื่อง เพราะอีกไม่กี่วันต่อมา ในวันที่ 26 สิงหาคม มีการพบระเบิดน้ำหนักถึง 25 กิโลกรัม ถูกวางไว้บนรางรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งเชื่อมระหว่างเมืองปารีสกับเมืองลีออง โดยคนร้ายหวังจุดระเบิดทันทีที่รถไฟวิ่งผ่าน แต่ถือว่าโชคดีมากที่มีความผิดพลาดบางอย่างจึงทำให้ระเบิดไม่ทำงาน และครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบหลักฐานสำคัญ คือลอยนิ้วมือแฝงของคนร้ายบนวัตถุระเบิดด้วย

 

จนในที่สุดก็ได้เบาะแสคนร้าย แต่ยังไม่ทันที่จะจับตัวได้ อีกไม่กี่วันให้หลัง ในวันที่ 3 กันยายน ก็เกิดเหตุระเบิดขึ้นอีกบริเวณตลาดกลางกรุงปารีส ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 4 ราย และในวันถัดมา ก็มีคนไปพบระเบิดถูกซุกซ่อนอยู่ในห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งตำรวจระบุว่าระเบิดลูกนี้น้ำหนักถึง 25 กิโลกรัม เดชะบุญที่ระเบิดไม่ทำงาน ต่อมา ในวันที่ 7 กันยายน มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นอีก ที่หน้าโรงเรียน บริเวณชานเมืองลีออง ครั้งนี้ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 14 ราย โชคยังดีที่ระเบิดทำงานก่อนที่โรงเรียนจะเลิกเพียง 10 นาที ไม่เช่นนั้น คงจะมีความเสียหายมากกว่านี้เป็นแน่

 

สังหารคนร้าย แต่เรื่องร้ายยังไม่จบ

 

เหตุลอบวางระเบิดอย่างต่อเนื่อง สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับประชาชนชาวฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก เพราะเพียงไม่กี่สัปดาห์ มีผู้ประสงค์ร้ายพยายามโจมตีฝรั่งเศสด้วยระเบิดถึง 6 ลูก รัฐบาลฝรั่งเศสได้กล่าวว่า กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงเชื้อสายแอลจีเรีย เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ระเบิดหลายครั้ง สาเหตุมาจากความไม่พอใจที่ฝรั่งเศสให้การสนับสนุนรัฐบาลทหารของแอลจีเรีย

 

มีการระดมกำลังตำรวจกว่า 800 นาย เพื่อควบคุมชายต้องสงสัย นามว่า นายคาเลด เคคัล ชาวแอลจีเรีย วัย 24 ปี แต่ระหว่างจับกุม นายคาเลค ยิงต่อสู้กับตำรวจจนถูกวิสามัญในที่สุด และจากการตรวจสอบแล้วพบว่าลายนิ้วมือบนระเบิดที่พบในรางรถไฟเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ตรงกับลายนิ้วมือของนายคาเลค แต่เจ้าหน้าที่ยังอาจหายใจได้ทั่วท้อง เพราะการจบชีวิตของ นายคาเลค ในครั้งนี้ ได้ทิ้งปริศนาไว้ให้ตำรวจต้องขบคิดอีกมากมาย เนื่องจากไม่มีอะไรสามารถการันตีได้ว่าการเสียชีวิตของนายคาเลค จะเป็นจุดสิ้นสุดของเหตุการณ์ระเบิดป่วนเมืองหรือไม่

 

ก่อการร้ายครั้งล่าสุด ประชาชนเสียชีวิตนับร้อย

 

ในที่สุดคำตอบก็ปรากฏชัด เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม หลังพิธีฝังศพของ นายคาเลค เสร็จสิ้นลงได้ไม่กี่ชั่วโมง ได้เกิดเขย่าขวัญชาวมหานครปารีสอีกครั้ง เมื่อบุรุษไปรษณีย์บังเอิญมาพบระเบิดลูกหนึ่ง ถูกซุกซ่อนไว้ในถังขยะ แล้วแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ แต่ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังเดินทางมาตรวจสอบ ระเบิดก็ได้ทำงานขึ้นเสียก่อน จนมีผู้บาดเจ็บถึง 13 ราย

 

เหตุการณ์ต่อมา เกิดขึ้นเมื่อ ในช่วงเช้าของวันที่วันที่ 17 ตุลาคม ซึ่งครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 8 ในระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือน โดยเหตุระเบิดครั้งนี้เกิดขึ้นบนขบวนรถไฟใต้ดินของปารีส ขณะที่รถไฟกำลังแล่นอยู่นั้นก็เกิดระเบิดขึ้น อานุภาพของมันทำให้ตู้รถไฟตู้ที่ 2 ฉีกออกจากกัน ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 29 คน โดยมี 5 คนอยู่ในขั้นวิกฤติ

 

ระดมกำลังทั่วประเทศ สยบวินาศกรรม

 

ในที่สุด รัฐบาลฝรั่งเศสได้ระดมกำลังตำรวจทหารทั่วประเทศ ออกตรวจตามสถานที่ต่างๆ อย่างเข้มข้น กองทัพได้ออกลาดตระเวนตามเมืองใหญ่ และประชากรไม่น้อยกว่า 1.8 ล้านคน ถูกเรียกไปตรวจสอบ มาตรการป้องกันของรัฐบาลที่เข้มงวดนี้ ทำให้เหตุการณ์ลอบวางระเบิดในมหานครปารีสได้จบสิ้นลง ทั้งนี้ทางการฝรั่งเศสยังคงปักใจเชื่อว่า การวินาศกรรมกลายครั้งที่ผ่านมา มีกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงเชื้อสายแอลจีเรียอยู่เบื้องหลังเพราะไม่ต้องการให้ฝรั่งเศสแทรกแซงการเมืองภายในประเทศแอลจีเรีย หลังเหตุการณ์วางระเบิดต่อเนื่องในกรุงปารีส ผ่านมาเกือบ 20 ปี เหตุการณ์เขย่าขวัญก็เกิดขึ้นอีกครั้ง....

 

ย้อนเหตุการณ์ สังหารหมู่ “ชาร์ลี แอปโด”

 

หลังฉลองวันขึ้นปีใหม่เพียงแค่ 7 วัน เหตุสลดกลางมหานครปารีสบังเกิดขึ้นในวันที่ 7 มกราคม 2558 เวลาประมาณ 11.00 น. มือปืนสองคนใส่ไอ้โม่งคลุมหน้า ควงทูตสังหารบุกถล่มสำนักงานใหญ่ของนิตยสารรายสัปดาห์ชื่อดังของฝรั่งเศสนามว่า “ชาร์ลี แอปโด”

 

มือปืนใจเหี้ยมได้บุกเข้าไปถึงหน้าอาคารที่ทำการ ก่อนจะบังคับให้หญิงสาวคนหนึ่งกดรหัสเปิดประตูสำนักงานให้ จากนั้นคนร้ายได้ตรงไปยังห้องประชุมที่อยู่บนชั้น 2 พร้อมกับร้องตะโกนว่า “มาแก้แค้นให้พระเจ้า” และเมื่อทั้งสองได้เข้าไปถึงห้องประชุม ก็ได้กระหน่ำยิงทุกคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างบ้าคลั่ง หลังคนร้ายก่อเหตุเสร็จ ก็ได้หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงปลอกกระสุนปืนและคราบเลือดของผู้สูญเสียไว้ให้ดูต่างหน้า เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 12 ราย และบาดเจ็บนับ 10 ราย

 

ประชาชนตกเป็นเหยื่ออย่างต่อเนื่อง

 

แม้จะถูกกดดันอย่างหนัก แต่คนร้ายได้แสดงเจตนารมณ์พร้อมที่จะสู้ตาย เมื่อถึงเวลา 13.30 น. ในที่สุดเจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจวิสามัญฆาตกรรมทั้งคู่ ส่วนตัวประกัน 2 คน ไม่ได้รับอันตรายใดๆ

 

ในวันเดียวกัน ตำรวจอีกชุดหนึ่งได้ติดตามจนพบ คนร้ายมือสังหารตำรวจหญิง แต่คนร้ายไหวตัวทัน จึงก่อเหตุบุกยึดซุปเปอร์มาร์เก็ตในกรุงปารีส และได้จับตัวประกันไว้ด้วยอย่างน้อย 5 ราย เจ้าหน้าที่จึงทำการปิดล้อมสถานที่ดังกล่าว เมื่อคนร้ายรู้ว่าไม่มีทางหนี จึงได้สังหารตัวประทิ้ง 2 คน ในที่สุดตำรวจจึงตัดสินใจเด็ดชีพคนร้ายทิ้ง ซึ่งระหว่างที่มีการต่อสู้กัน ทำให้ตัวประกันเสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ราย และมีตำรวจได้รับบาดเจ็บ 2 นาย

 

หลังเหตุการณ์ป่วนเมืองจบลง ทางการฝรั่งเศส ออกมาแถลงการณ์ยอมรับว่า ล้มเหลวในการเฝ้าระวังบุคคลอันตราย ทั้งๆ ที่ สองคนร้ายที่ก่อเหตุสังหารหมู่ เคยถูกทางการสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีเป็นบุคคลที่ต้องเฝ้าจับตามาแล้ว อีกทั้ง ยังเคยมีทวิตเตอร์ข่มขู่บรรณาธิการนิตยสาร ชาร์ลี แอปโด มาครั้งหนึ่ง หลังจากที่นิตยสารรายดังกล่าว ได้วาดการ์ตูนล้อเลียนศาสนาอิสลาม ซึ่งกลายเป็นชนวนเหตุของการก่อวินาศกรรมในครั้งนี้

 

ล่าสุด จับตัวประกัน วางระเบิด เสียชีวิตนับร้อย

 

เหตุการณ์ช็อกเพิ่งจะผ่านพ้นไปไม่ถึงปี วันนี้ฝรั่งเศสตกเป็นเป้าของการก่อการร้ายอีกคำรบ เมื่อกลางดึกวันที่ 13 พศจิกายน ที่ผ่านมา คนหลายไม่ทราบจำนวน ก่อเหตุจับตัวประกันกว่า 100 คน ที่โรงละครในกรุงปารีส และยังมีการวางระเบิดอีกไม่ต่ำกว่า 7 จุด สร้างความสับสนอลหม่านไปทั่วทั้งมหานครปารีส 

 

เหตุการณ์ร้ายครั้งนี้ เริ่มขึ้นตั้งแต่ เวลา 20.30 น. ระหว่างการแข่งขันฟุตบอลนัดกระชับมิตร ระหว่างทีมชาติฝรั่งเศสกับทีมชาติเยอรมนี จู่ๆก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น ต่อมา ในเวลา 21.30 น. มีรายงานเหตุกราดยิงในร้านอาหาร ห่างจากสนามกีฬาที่ทำการแข่งขันนัดกระชับมิตรเพียง 5 ไมล์ จนกระทั่งเวลา 22.00 น. มีรายงานว่ากลุ่มคนร้ายพร้อมอาวุธครบมือ บุกจี้จับตัวประกันในโรงละครที่กำลังจัดงานคอนเสิร์ต ต่อมาเวลา 23.30 น. ถึง 01.00 น.ตำรวจเปิดฉากบุกเข้าโรงละคร และวิสามัญคนร้ายได้ 3 ศพ แต่ทว่า ภายในโรงละคร พบร่างผู้เสียชีวิตถึง 80 ศพ ซึ่งคาดว่าเกิดจากมือระเบิดพลีชีพ และเมื่อเวลา 03.00 น. ทางการฝรั่งเศสออกแถลงควบคุมสถาการณ์ไว้ได้แล้ว 

 

เหตุการณ์ครั้งนี้ สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง โดยมีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 129 ศพ และผู้ได้รับบาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 352 คน ในขณะที่ผู้ก่อเหตุถูกวิสามัญฯ ทั้งสิ้น 8 ศพ นับเป็นการก่อวินาศกรรมครั้งรุนแรงที่สุดในรอล 70 ปี ของประเทศฝรั่งเศส 

 

ภัยจากการก่อการร้ายเขย่าขวัญคนทั้งประเทศ

 

วิเคราะห์เหตุการณ์ ใครอยู่เบื้องหลังวินาศกรรมช็อกโลก

 

พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีต รอง ผอ.ศูนย์ประสานงานข่าวกรองแห่งชาติ ให้ความเห็นกับ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ว่าการก่อเหตุในครั้งนี้ เชื่อว่าเป็นการโจมตีเชิงสัญลักษณ์ ต่อกลุ่มประเทศที่ต่อต้านการก่อการร้าย และทางการฝรั่งเศสเองก็ทราบดีว่า เป็น 1 ใน ประเทศที่เป็นเป้าหมายหลักของการก่อวินาศกรรม ซึ่งเมื่อทราบแบบนี้แล้ว ทางการฝรั่งเศสควรที่จะระมัดระวังตัว และมีมาตรการป้องกันตัวเองให้มาก ให้เหมือนกับประเทศอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา แต่ก็เข้าใจว่า ฝรั่งเศสเป็นเมืองท่องเที่ยว ซึ่งเป็นธรรมดาที่จะไม่เข้มงวดเรื่องการเข้าเมือง

 

ปัญหาอยู่ที่ว่า ใครคือผู้ก่อการร้ายในครั้งนี้ เพราะการที่จะทำให้เกิดระเบิดได้ในหลายจุด มีการใช้อาวุสงครามและการจี้จับตัวประกันนั้นจะต้องใช้คนอย่างน้อยๆ 10 คนขึ้นไป และต้องมีการวางแผนมาระยะหนึ่งแล้วด้วย ส่วนกลุ่มคนที่ก่อเหตุคงไม่ใช่กลุ่มก่อการร้ายที่อยู่ในประเทศ แต่น่าจะมีคนที่ถือสัญชาติฝรั่งเศสคอยให้ความช่วยเหลือ ส่วนกลุ่มที่จะถูกเพ่งเล็งมากที่สุดในตอนนี้ เห็นทีจะไม่พ้นผู้อพยพชาวซีเรีย ซึ่งหากฝรั่งเศสไม่สามารถสาวถึงตัวการได้เร็ววัน เชื่อว่าหลายๆ ประเทศในยุโรปจะมีมาตรการที่เข้มงวดในการตรวจสอบผู้อพยพเหล่านี้

 

“สำหรับเส้นทางการจัดหาอาวุธ คงไม่สามารถบอกได้ว่าเอามาจากไหน แต่การก่ออาชญากรรมข้ามชาติ มันเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงกัน ทั้งกลุ่มค้าอาวุธ กลุ่มค้ายาเสพติด ไปจนถึงกลุ่มก่อการร้าย สามารถพึ่งพากันและกันได้ ซึ่งตรงนี้อาจเป็นช่องทางหนึ่งในการจัดหาอาวุธในการก่อวินาศกรรมในครั้งนี้” พล.ท.นันทเดช กล่าว

 

 

 

ที่มา : thairath

 

 

Natui Website 2015-11-17 00:15:18 3314