ครบรอบ 14 ปี เหตุวินาศกรรม 9/11 กลุ่มก่อการร้ายอัลเคดา ขับเครื่องบินพุ่งชนตึกแฝด เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ในมหานครนิวยอร์ก และกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2,996 คน และบาดเจ็บกว่า 6,000 คน
14 ผ่านไป แม้สหรัฐฯ จะปลิดชีพโอซามา บิน ลาเดน หัวหน้ากลุ่มอัลเคดาได้สำเร็จ แต่สหรัฐฯ และชาวโลก กลับต้องมาเผชิญกับภัยก่อการร้ายที่น่าสะพรึงกลัวมากขึ้นกว่าเดิม จากกลุ่มติดอาวุธมุสลิมนิกายชีอะห์หัวรุนแรง ‘รัฐอิสลาม‘ หรือไอซิส ที่ผงาดขึ้นมา เป็นกลุ่มก่อการร้ายหมายเลขหนึ่ง แทนที่กลุ่มอัลเคดา แถมยังโหดกว่า และป่าเถื่อนกว่ามาก
เป็นเวลานานกว่าปี ที่ความป่าเถื่อนเหี้ยมโหดของกลุ่มไอซิส ซึ่งได้ลงมือฆ่าตัดศีรษะเหยื่อตัวประกันต่างชาติไปแล้วหลายคน ทั้งอเมริกัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และอีกหลายชาติ รวมทั้งยังคิดค้นหาวิธีสารพัดมาทรมานสังหารตัวประกัน ถูกนำมาเผยแพร่เหมือนกับเป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้เกิดความกลัวอย่างต่อเนื่องในโลกออนไลน์ กระทั่ง ระยะหลังๆ ได้มีรายงานออกมามากขึ้นเกี่ยวกับการทารุณกระทำย่ำยีทางเพศต่อตัวประกันหญิง ที่ต้องตกเป็นทาสกามของบรรดาสมาชิกไอซิส
อาบู บาการ์ อัล-บักห์ดาดี... ‘ซาตาน... ปากคาบคัมภีร์’
อาบู บาการ์ อัล-บักห์ดาดี หัวหน้ากลุ่มไอซิส
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตีแผ่ประจานความเลวร้ายของนายอาบู บาการ์ อัล-บักห์ดาดี หัวหน้ากลุ่มไอซิส ที่ไม่ต่างอะไรกับพวก ‘มือถือสากปากถือศีล’ เทศนาสั่งสอนอุดมการณ์อันสูงส่ง แต่กลับข่มขืนล่วงเกินทางเพศผู้หญิง ที่อ่อนแอกว่า ซ้ำยังไร้อิสรภาพ ถูกจับมาเป็นเชลย
ตามประวัติ นายอัล-บักห์ดาดี เกิดที่เมืองซามาร์รา ของอิรัก เมื่อปี 2514 ปัจจุบันอายุ 44 ปี ว่ากันว่า เขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรี โท และเอก จากศูนย์ศึกษาอิสลาม(กวีและประวัติศาสตร์อิสลาม)ที่มหาวิทยาลัยแบกแดด เคยมีอาชีพเป็นนักวิชาการควบคู่ไปกับการเป็นครูสอนศาสนา มีความเชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมและกฎหมายอิสลาม จากนั้น ได้เข้าร่วมกับกลุ่มกบฏเพื่อต่อต้านกองทัพสหรัฐฯ อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ส่งกำลังทหารสหรัฐฯ บุกอิรักเพื่อโค่นล้มอำนาจอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน และปราบปรามกลุ่มก่อการร้าย หลังเกิดเหตุการณ์ 9/11
*หญิงชนเผ่ายาซิดี แฉความชั่วร้ายอัล-บักห์ดาดี
ที่น่าวิตกก็คือ เรื่องราวของเคย์ลา มูลเลอร์ ไม่ใช่เรื่องสุดท้ายในการประจานความชั่วร้ายของนายอัล-บักห์ดาดี เพราะล่าสุด เหยื่อสาวชาวอิรัก ชนเผ่ายาซิดี คนหนึ่งยังได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น เปิดเผยชะตากรรมที่เธอและเพื่อนหญิงชนเผ่ายาซิดีอีก 8 คน ประสบพบเจอขณะถูกกลุ่มไอซิสจับตัวไป!!
หญิงสาวสวย ชนเผ่ายาซิดีผู้นี้ซึ่งหนีรอดจากอุ้งมือกลุ่มไอซิสมาได้ แม้จะโพกผ้าสีแดงเลือดหมู ปิดบังใบหน้า เห็นเพียงแค่ดวงตาโตสวยคมระหว่างให้สัมภาษณ์กับนักข่าวหญิงซีเอ็นเอ็น แต่ก็สามารถเดาได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงสวยมากทีเดียว
โดยหญิงสาว วัย 16 ซึ่งนักข่าวซีเอ็นเอ็น เรียกเธอว่า ไซแนต (ไม่ใช่ชื่อจริง) เล่าว่า เธอและครอบครัวได้พยายามวิ่งหนีกลุ่มไอซิสขึ้นไปยังเขาซินจาร์ เมื่อได้ข่าวว่าพวกมันบุกมาถึงหมู่บ้านที่เธอและครอบครัวอยู่ แต่ก็ดูเหมือนจะสายเกินไปเสียแล้ว เพราะมีชนเผ่ายาซิดีมากมายพยายามจะหนีกลุ่มไอซิสขึ้นไปบนเขาลูกนี้เหมือนกัน
ไซแนต เล่าว่า เธอได้ถูกกลุ่มไอซิสจับตัวไป พร้อมกับพี่สาว จากนั้นพวกมันก็แยกเธอกับพี่ๆ จากกัน โดยเธอได้ถูกกลุ่มไอซิสบังคับใช้งานเยี่ยงทาส เช่นเดียวกับหญิงเผ่ายาซิดีอีกนับพันคนที่ถูกกลุ่มไอซิสกวาดต้อนเป็นตัวประกัน เพียงแต่ความสวยของ ไซแนต ทำให้เธอถูกส่งตัวไปให้หัวหน้าใหญ่ ‘อาบู บาการ์ อัล-บักห์ดาดี’ พร้อมกับเพื่อนหญิงร่วมเผ่าอีก 8 คน !!
*โดนเลือก... โดยหัวหน้ากลุ่มไอซิส
‘เขาปฏิบัติต่อพวกเราเลวร้ายมาก’ ไซแนตย้อนเรื่องราว พร้อมเล่าว่าเธอถูกอัล บักห์ดาดี ทั้งข่มขืน ทุบตี และเขายังได้กระทำความป่าเถื่อนเช่นนี้กับหญิงอเมริกัน คือ เคย์ลา มูลเลอร์ด้วย นายอัล-บักห์ดาดี มักบอกพวกเราเสมอให้ลืมพ่อลืมพี่ชายเสียเถอะ เพราะพวกมันจะฆ่าครอบครัวของเรา
ไซแนต เผยว่า ตอนแรก ที่เธอและหญิงชนเผ่ายาซิดีอีก 8 คนถูกนำตัวไปยังบ้านของอัล บักห์ดาดีในเมืองรักกา ซึ่งได้รับสถาปนาเป็นเมืองหลวงของกลุ่มสุดโหดนั้น เธอไม่รู้หรอกว่า เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มไอซิส เพียงแต่เมื่อเธอไปถึงแล้ว เธอได้ถูกบังคับให้ดูวิดีโอบันทึกเหตุการณ์กลุ่มไอซิส ฆ่าตัดหัวตัวประกันชาวตะวันตกทันที พร้อมกันนั้นเขายังขู่เธอว่า เธอจะมีชะตากรรมเช่นเดียวกันนี้ ถ้าไม่ยอมเปลี่ยนศาสนา
‘มีนักข่าว , นักข่าวชาวอเมริกัน และผู้ชายที่สวมชุดดำ’ ไซแนต เล่าย้อนถึงภาพในวิดีโอ ซึ่งเธอบอกว่าเขาเป็นนักข่าวและถูกตัดศีรษะ ซึ่งซีเอ็นเอ็น ชี้ว่า คำบอกเล่าของไซแนตตรงกับวิดีโอการสังหารเจมส์ โฟลีย์ , สตีเวน ซอตลอฟฟ์ และตัวประกันชาวตะวันตกอีกหลายคน
*ถ้าไม่เปลี่ยนศาสนา ก็จะเจอชะตากรรมเยี่ยงนี้
อัล-บักห์ดาดีได้เปิดวิดีโอจากแล็บท็อป พร้อมกับขู่ว่าถ้าเธอไม่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม เหตุการณ์นี้ก็จะเกิดกับเธอกลุ่มไอซิสจะตัดหัวเธอแน่นอน โดยไซแนต ยังเล่าว่า หัวหน้ากลุ่มไอซิสและครอบครัวของเขา มักย้่ายบ้านอยู่เป็นประจำ จากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง เพราะกลัวโดนระเบิดจากกองกำลังต่างชาติที่ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศทิ้งระเบิดสังหาร
ไซแนต บอกว่าในวันที่เธอถูกนำตัวไปยังบ้านหลังหนึ่งของอัล -บักห์ดาดีนั้น ได้มีระเบิดถูกทิ้งตกลงตรงหน้าบ้านหลังนั้น จนทำให้ต้องย้ายไปอยู่บ้านหลังอื่น จากนั้น หญิงสาวเผ่ายาซิดีผู้นี้ก็ถูกอัล บักห์ดาดีทุบตี ด้วยของทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือ ไม่ว่าจะเป็นเข็มขัด ท่อนไม้ เพราะเขากระทำต่อเธอและผู้หญิงคนอื่นๆ ในฐานะเป็น ‘สิ่งของ’ ของกลุ่มไอซิส อีกทั้งยังตกเป็นคนรับใช้ถูกใช้งานเยี่ยงทาส ทั้งทำกับข้าว ซักเสื้อผ้า ให้กับภรรยา 3 คนของอัล บักห์ดาดี และลูกๆ ของพวกเขาอีก 6 คน
จนกระทั่ง สบโอกาสเหมาะในวันหนึ่ง เธอและเพื่อนๆ หญิงเผ่าเดียวกัน ได้ขโมยกุญแจของบ้านและออกจากบ้านมาได้ จากนั้น เธอก็วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต บ้านหลังดังกล่าวอยู่นอกเมืองอเลปโป และมีหญิงอาหรับคนหนึ่งอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย แต่เมื่อเธอชวนหญิงคนนี้ให้หนีออกมาด้วยกัน หญิงอาหรับกลับโทร.หาอัล บักห์ดาดี
* ชวนตัวประกันหญิงอเมริกันให้หนีมาด้วยกัน
เคย์ลา มูลเลอร์ ตัวประกันหญิงชาวอเมริกัน
ไซแนต เล่าด้วยว่า เธอยังได้ชวนเคย์ลา มูลเลอร์ ตัวประกันหญิงอเมริกันให้หนีมาพร้อมกัน แต่เคย์ลาปฏิเสธ โดยบอกกับเธอว่า ถ้าเธอหนีไป จะถูกพวกมันตัดหัว อย่างไรก็ตาม อัล บักห์ดาดี ได้แต่งงานกับเคย์ลา และเธออยู่ในสถานะเป็นภรรยาของเขา โดยหัวหน้ากลุ่มไอซิสยังไม่อนุญาตให้อาบู เซย์ยาฟ เจ้าของบ้าน ได้เห็นหน้าเคย์ลาเลย และเคย์ลาก็มักคลุมหน้า เป็นประจำ
เรื่องราวเหล่านี้ เป็นเพียงบางส่วนจากคำเปิดเผยของ ไซแนต หญิงชนเผ่ายาซิดีกับนักข่าวซีเอ็นเอ็น หลังจากสามารถหนีรอดจาก ‘ขุมนรก’ อุ้งมืออัล บักห์ดาดีมาได้ ... เป็นการเปิดเผยที่ทำให้ชาวโลกได้รู้จักตัวตนความชั่วร้ายของ หัวหน้ากลุ่มไอซิส กลุ่มติดอาวุธสุดโหดมากกว่าเดิม ขณะที่พวกมันกำลังก้าวขึ้นมาเป็นกลุ่มก่อการร้ายหมายเลขหนึ่งที่มีพิษสงมากที่สุดในเวลานี้ หลังจากเหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 ผ่านมา 14 ปี
ที่มา : thairath